คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 771/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลักการแปลสัญญานั้นควรแปลความให้มีผลบังคับดีกว่าจะแปลให้ไร้ผล
หนังสือสัญญาซื้อขายเรือนใช้คำว่า สัญญาซื้อขาย แต่ปรากฎตามข้อสัญญาว่ายังไม่ได้ชำระราคากันแสดงอยู่ว่า สัญญารายนี้ยังไม่เด็ดขาด มีการที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาต่อไปอีกและเมื่อยังไม่ชำระราคากัน ก็จะเรียกร้องให้โอนเรือนกันก็ยังไม่ได้ คู่กรณีก็มีเจตนาจะให้มีการผูกพันต่อกันตามสัญญาดังนี้ ควรฟังว่า สัญญาเช่นนี้เป็นสัญญาจะซื้อขายไม่ใช่สัญญาซื้อขายเด็ดขาด
ทำสัญญาขายเรือนกันฝ่ายผู้ซื้อขอผัดชำระเงินภายใน 2 เดือน ครั้นครบกำหนดแล้ว ผู้ซื้อก็ยังมิได้ชำระเงิน ดังนี้ผู้ขายจะบอกเลิกสัญญานั้นเสียทีเดียวยังไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ชำระหนี้ภายในระยะเวลาอันสมควรตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 387 เสียก่อน เว้นแต่จะปรากฎว่าคู่สัญญาถือกำหนดเวลาดังกล่าวเป็นสาระสำคัญ เพื่อความสำเร็จของวัตถุประสงค์ในการทำสัญญาตามมาตรา 388

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๔๙๑ จำเลยได้ทำสัญญาขอซื้อเรือนของโจทก์หลังหนึ่งเป็นเงิน ๒๐๐ บาท และขอผัดชำระเงินให้โจทก์เมื่อถึงวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ ดังปรากฎตามสัญญาซื้อขายท้ายฟ้อง ถึงกำหนดชำระเงินแล้ว จำเลยไม่ชำระ เป็นการผิดสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและขอให้จำเลยออกจากเรือน จำเลยไม่ยอม จึงขอให้ศาลขับไล่
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์มีสิทธิเพียงแต่เรียกร้องให้จำเลยชำระราคาเรือนเท่านั้น จะเลิกสัญญาและขับไล่จำเลยไม่ได้ แล้วฟ้องแย้งให้โจทก์รับเงิน ๒๐๐ บาท และจัดการแก้ทะเบียนกรรมสิทธิโอนเรือนพิพาทให้จำเลย
คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยได้ครอบครองอยู่ในเรือนพิพาทเมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่ว่าจำเลยไม่มีสิทธิจะอยู่ จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์จะสืบให้สม เมื่อไม่สืบก็ไม่มีทางชนะคดีได้ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ยอมรับราคาเรือน ๒๐๐ บาท และให้แก้ทะเบียนให้เรือนเป็นกรรมสิทธิของจำเลย
แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สัญญาซื้อขายไม่ได้จดทะเบียนเป็นโมฆะ ไม่มีความผูกพันกันเลย จึงพิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ตามหนังสือสัญญารายนี้จะใช้คำว่าสัญญาซื้อขายก็ดี แต่ปรากฎตามข้อสัญญาว่ายังไม่ได้ชำระเงินราคากัน แสดงอยู่ว่าสัญญารายนี้ยังไม่เป็นการเด็ดขาด มีการที่จะต้องปฏิบัติการตามสัญญาต่อไปอีก อนึ่งเมื่อยังไม่ชำระราคากันดังนี้ จะเรียกร้องให้โอนกันก็ยังไม่ได้อยู่เอง อีกประการหนึ่งตามความในสัญญาก็ดี ตามฟ้องและคำให้การก็ดี โจทก์จำเลยมีเจตนาจะให้มีความผูกพันต่อกันตามสัญญา ข้อโต้เถียงกันในชั้นนี้ก็เพียงแต่ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อพิจารณาตามหลักการแปลสัญญาว่า การแปลความให้มีผลบังคบคดีว่าจะแปลให้ไร้ผลแล้ว รูปคดีควรฟังว่าสัญญารายนี้เป็นสัญญาจะซื้อขาย หาใช่สัญญาซื้อขายเด็ดขาดไม่ ฉะนั้นโจทก์จะบอกเลิกสัญญาได้ก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๓๘๗ คือบอกกล่าวให้ชำระหนี้ภายในระยะเวลาอันสมควร แต่คดีนี้ไม่ได้ความว่าโจทก์ได้ปฏิบัติเช่นนั้น ทั้งไม่ได้ความด้วยว่า ตามสัญญาที่ให้ชำระราคาภายใน ๒ เดือนนั้น คู่สัญญาถือกำหนดเวลาดังกล่าวเป็นสาระสำคัญ เพื่อความสำเร็จของวัตถุประสงค์ในการทำสัญญาตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๓๘๘ ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่ที่จะฟ้องขอเลิกสัญญา สัญญารายนี้ยังสมบูรณ์อยู่ จำเลยชอบที่จะขอให้บังคับตามสัญญาได้
จึงพิพากษากลับ โดยบังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share