คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4743/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์ได้กล่าวว่าอาคารของโจทก์เสียหายอย่างไรอันเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสิบเอ็ด ความเสียหายดังกล่าวสามารถซ่อมแซมได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ค่าเสียหายจำนวนเงินเท่าใด โจทก์ได้กล่าวโดยชัดแจ้งถึงสภาพของความเสียหายของโจทก์และจำนวนค่าเสียหาย เพียงพอที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะให้การต่อสู้ได้แล้ว โจทก์ไม่จำต้องกล่าวมาในฟ้องว่าความเสียหายของโจทก์อยู่ที่ส่วนไหนเพียงใด ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบเอ็ดรื้อถอนอาคารชุดจำเลยที่ 2 ในส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินใช้อำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336บังคับให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดรื้อถอนอาคารชุดส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ไม่อยู่ในบังคับอายุความเรื่องละเมิด ส่วนกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายที่อาคารของโจทก์เสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดโดยตรงนั้น โจทก์อ้างว่าอาคารของโจทก์แตกร้าวเสียหายเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2530และโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดรื้อถอนอาคารชุดส่วนที่รุกล้ำ แต่จำเลยทั้งสิบเอ็ดเพิกเฉย ดังนั้น ตราบใดที่จำเลยทั้งสิบเอ็ดยังคงปล่อยให้มีการรุกล้ำดังกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสิบเอ็ดกระทำละเมิดต่อโจทก์ติดต่อกันมาอยู่ตราบนั้น โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายตราบเท่าที่ยังไม่มีการรื้อถอนอาคารชุดส่วนที่รุกล้ำ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ปลูกสร้างอาคารตึกสนองชั้นเลขที่100/28 ในที่ดินโฉนดเลขที่ 106715, 106716 และ 106717 ซึ่งซื้อมาจากจำเลยที่ 1 และผู้มีชื่อ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 106708 ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโจทก์ทางด้านทิศเหนือ จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลอาคารชุดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ชื่ออาคารชุด “แบชเลอร์คอนโดมิเนียม” โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขออนุญาตจดทะเบียนและร่วมกับผู้มีชื่อเป็นคณะกรรมการควบคุมจัดการนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3เป็นผู้จัดการของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันปลูกสร้างอาคารชุดดังกล่าว หลังจากโจทก์ปลูกสร้างอาคารเสร็จในเดือนมีนาคม 2525 แล้ว ต่อมาปลายปีเดียวกัน จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้ร่วมกันปลูกสร้างอาคารชุดใช้ชื่อว่า”แบชเลอร์คอนโดมิเนียม” ซึ่งสูง 4 ชั้น ในที่ดินของจำเลยที่ 1โดยปลูกสร้างติดกับอาคารของโจทก์ หลังจากโจทก์ปลูกสร้างอาคารเสร็จแล้ว ต่อมากลางเดือนมิถุนายน 2530 ขณะโจทก์อยู่ต่างประเทศได้รับแจ้งจากตัวแทนโจทก์ว่าอาคารของโจทก์มีรอยแตกร้าวเสียหายเกือบทั้งหลัง กองควบคุมอาคารสำนักงานโยธา กรุงเทพมหานคร ได้มาตรวจสอบสาเหตุแตกร้าวตามคำร้องเรียนของโจทก์เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2530 แล้วสันนิษฐานว่าเกิดจากการทรุดตัวของอาคารทั้ง 2 หลัง ที่มีอัตราทรุดตัวไม่เท่ากันและอาคารทั้ง 2 หลังสร้างติดกันจนมีสภาพเป็นอาคารหลังเดียวกันโจทก์รังวัดสอบเขตที่ดิน เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2531 จึงทราบว่าอาคารชุดจำเลยที่ 2 รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ระดับแนวราบบนพื้นดิน20 เซนติเมตร สูงขึ้นไปตลอดความสูงของอาคาร 4 ชั้น อันเป็นแดนกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โดยในส่วนที่รุกล้ำของอาคารชุดจำเลยที่ 2แต่ละชั้นคือชั้นที่ 1 ห้องชุดเลขที่ 108/6 108/12 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามลำดับ ชั้นที่ 2 ห้องชุดเลขที่ 108/18 และ 108/26 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 5และที่ 6 ตามลำดับ ชั้นที่ 3 ห้องชุดเลขที่ 108/32 และ 108/40ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 7 และที่ 8 ตามลำดับ ชั้นที่ 4ห้องชุดเลขที่ 108/46 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมของจำเลยที่ 9 และที่ 10 และห้องชุดเลขที่ 108/54 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 11 โจทก์พบว่าฐานรากของอาคารชุดจำเลยที่ 2 วางบนเสาเข็มใต้พื้นดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ประมาณ 40 เซนติเมตร เป็นเหตุให้อาคารโจทก์ได้รับความเสียหาย ตัวพื้นดาดฟ้าแตกร้าวพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กบริเวณส่วนที่ติดกับอาคารชุดจำเลยที่ 2แตกร้าวฉีกขาด กำแพงทั้งชั้นบนและชั้นล่างแตกร้าวมากจนไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้งานได้ โครงสร้างถูกเหนี่ยวรั้งเสียสมดุล วงกบหน้าต่างประตูชั้นสองถูกดันเสียรูปทรง และเสียหายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดไปจากการเหนี่ยวรั้งกัน โดยวิศวกรรายงานการตรวจสอบให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2531 โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รื้อถอนอาคารชุดแบชเลอร์คอนโดมิเนียมส่วนที่ปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ดังกล่าว แต่ต่างเพิกเฉย จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยมีเจตนาสมคบร่วมกันปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์เป็นการรับโอนทรัพย์ที่เกิดจากการกระทำผิดกฎหมาย ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดรื้อถอนอาคารที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ด้วย ความเสียหายของอาคารโจทก์ดังกล่าวไม่สามารถซ่อมแซมให้มีสภาพดีเหมือนเดิมได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันรื้อถอนอาคารชุด”แบชเลอร์คอนโดมิเนียม” เลขที่ 108 ทางด้านทิศใต้ในส่วนที่รุกล้ำเข้าไปทางทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 106715 ของโจทก์โดยให้รื้อถอนห้องชุดเลขที่ 108/6, 108/12 ของชั้นที่ 1, 108/18,108/26 ของชั้นที่ 2, 108/32, 108/40 ของชั้นที่ 3 และ 108/46, 108/54 ของชั้นที่ 4 ออกไปเป็นระยะทาง 20 เซนติเมตร นับแต่ขอบด้านนอกของตัวอาคารชุดจนพ้นเขตที่ดินของโจทก์ และให้รื้อฐานรากเสาเข็มใต้พื้นดินในส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ดังกล่าวออกไปเป็นระยะทาง 40 เซนติเมตร นับแต่แนวที่รุกล้ำโดยให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการรื้อถอนและให้ส่งมอบพื้นที่ดังกล่าวคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 2,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ทราบความเสียหายจากมูลละเมิดเกิน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ร้องเรียนไปยังสำนักงานเขตบางเขน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2530 ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ไม่อาจต่อสู้ในส่วนของความเสียหายของอาคารว่าอยู่ส่วนใด เสียหายเพียงใดความเสียหายของโจทก์มีมากถึงขนาดต้องทุบอาคารทั้งหลังเพราะเหตุใด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 ให้การว่า จำเลยที่ 4 ที่ 6และที่ 8 ต่างรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 108/12, 108/26และ 108/40 ตามลำดับมาจากผู้มีชื่อโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนมิได้ปลูกสร้างอาคารทำละเมิดต่อโจทก์ และอาคารห้องชุดดังกล่าวของจำเลยก็มิได้สร้างรุกล้ำที่ดินโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ที่ 5 ที่ 7 และที่ 11 ให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ก่อสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินโจทก์ ความเสียหายของอาคารโจทก์เกิดจากการก่อสร้างอาคารผิดแบบและใช้อาคารผิดประเภท การซ่อมแซมความเสียหายของอาคารโจทก์เสียค่าใช้จ่ายไม่เกิน 50,000 บาท การที่โจทก์ก่อสร้างอาคารผิดแบบและยังใช้อาคารผิดประเภท ทำให้ตัวอาคารโจทก์ทรุดลงไปมากกว่าปกติประกอบกับตัวผนังอาคารติดกันกับอาคารชุดจำเลยที่ 2 การทรุดตัวของอาคารโจทก์จึงดึงอาคารชุดจำเลยที่ 2 และห้องชุดของจำเลยที่ 5ที่ 7 และที่ 11 เป็นเหตุให้อาคารชุดจำเลยที่ 2 ทรุดแตกร้าวเสียหายในส่วนของเสาและคานต่าง ๆ ประเมินค่าเสียหายเป็นเงิน96,000 บาท กับทำให้ห้องชุดของจำเลยที่ 5 ที่ 7 และที่ 11 แตกร้าวเสียหาย ค่าซ่อมแซมเป็นเงินห้องละ 27,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์ชำระเงินแก่จำเลยที่ 2 เป็นเงิน 96,000 บาท แก่จำเลยที่ 5 ที่ 7 และที่ 11 คนละ 27,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 3 ที่ 9 และที่ 10 ให้การและแก้ไขคำให้การกับฟ้องแย้งว่า อาคารชุดจำเลยที่ 2 ก่อสร้างบนที่ดินของจำเลยที่ 2มิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์เพราะมีวิศวกรคำนวณถูกต้องโจทก์เป็นฝ่ายก่อสร้างผิดจากแบบแปลนที่ขออนุญาตจากทางราชการและยังใช้อาคารผิดประเภทด้วยเป็นเหตุให้ตัวอาคารของโจทก์ซึ่งก่อสร้างติดกับอาคารชุดจำเลยที่ 2 ฉุดดึงด้วยน้ำหนักของอาคารโจทก์ ทำให้อาคารโจทก์แตกร้าวเอง การก่อสร้างผิดแบบแปลนใช้อาคารผิดประเภทของโจทก์ทำให้ห้องชุดของจำเลยที่ 3 ที่ 9และที่ 10 แตกร้าว น้ำฝนไหลซึมเข้าในห้องชุด ต้องซ่อมแซมเสียค่าซ่อมคนละ 27,000 บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ชำระเงินแก่จำเลยที่ 3 เป็นเงิน 27,000 บาท และแก่จำเลยที่ 9 ที่ 10เป็นเงิน 27,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้ก่อสร้างอาคารผิดจากแบบแปลนที่ขออนุญาตไว้ โจทก์ก่อสร้างอาคารของโจทก์เสร็จแล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเพิ่งก่อสร้างอาคารชุดจำเลยที่ 2 รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ทั้งรากฐานและตัวอาคารโดยไม่สุจริต จนผนังอาคารของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ติดกับผนังอาคารของโจทก์โดยมีการโบกปูนทับเกาะเกี่ยวกันจนมีสภาพโครงสร้างเป็นอาคารเดียวกันและเมื่ออาคารต่างเกิดการทรุดตัวจึงเกิดการดึงกันขึ้น อาคารของจำเลยที่ 2 เป็นอาคารสูง 4 ชั้น มีน้ำหนักมากกว่าจึงดึงอาคารโจทก์แตกร้าว หาใช่ตัวอาคารโจทก์ทรุดลงไปมากกว่าปกติแล้วดึงอาคารจำเลยที่ 2 กับห้องชุดของจำเลยที่ 3 ที่ 5 ที่ 7 และที่ 9 ถึงที่ 11 ทรุดตัวแตกร้าวไม่ ความเสียหายของจำเลยที่ 2ที่ 3 ที่ 5 ที่ 7 และที่ 9 ถึงที่ 11 เกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เองที่สร้างอาคารรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ โจทก์จึงไม่ต้องรับผิด หากจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5ที่ 7 และที่ 9 ถึงที่ 11 เสียหายก็ไม่เกินตารางเมตรละ 300 บาทขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 7 และที่ 9 ถึงที่ 11
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันรื้อถอนอาคารชุด “แบชเลอร์คอนโดมิเนียม” เลขที่ 108 ส่วนที่รุกล้ำทางทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 106715 ของโจทก์โดยให้รื้อถอนห้องชุดเลขที่ 108/6, 108/12 ของชั้นที่ 1, 108/18, 108/26ของชั้นที่ 2, 108/32, 108/40 ของชั้นที่ 3, 108/46, 108/54ของชั้นที่ 4 ออกไปเป็นระยะทาง 20 เซนติเมตร นับแต่ขอบด้านนอกของอาคารชุดจำเลยที่ 2 จนพ้นเขตที่ดินโจทก์ และให้รื้อถอนฐานรากเสาเข็มใต้พื้นดินในส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ออกไปเป็นระยะทาง 40 เซนติเมตร นับแต่แนวที่รุกล้ำ กับให้ส่งมอบพื้นที่ดังกล่าวคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย โดยให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการรื้อถอนและร่วมกันใช้เงินค่าเสียหายจำนวน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์คำขออื่นให้ยก ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 7และที่ 9 ถึงที่ 11
จำเลยทั้งสิบเอ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสิบเอ็ดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสิบเอ็ดฎีกามาในฉบับเดียวกันจึงแยกวินิจฉัยตามสิทธิของจำเลยแต่ละคน
ที่จำเลยทั้งสิบเอ็ดฎีกาในประเด็นเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนเกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่กล่าวมาในฟ้องว่าความเสียหายของโจทก์อยู่ที่ส่วนไหน เพียงใด จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่อาจเข้าใจได้ว่าความเสียหายของโจทก์มีอยู่เพียงใดนั้น เห็นว่า คำฟ้องโจทก์ได้กล่าวว่าอาคารของโจทก์เสียหายอย่างไร อันเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสิบเอ็ด ความเสียหายดังกล่าวสามารถซ่อมแซมได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ค่าเสียหายจำนวนเงินเท่าใด โจทก์ได้กล่าวโดยชัดแจ้งถึงสภาพของความเสียหายของโจทก์และจำนวนค่าเสียหายเพียงพอที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะให้การต่อสู้ได้แล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ที่จำเลยทั้งสิบเอ็ดฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มิได้ปลูกสร้างอาคารชุดจำเลยที่ 2 รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมากกว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ปลูกสร้างอาคารชุดจำเลยที่ 2 รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ตามฟ้อง
ที่จำเลยทั้งสิบเอ็ดฎีกาว่า อาคารของโจทก์แตกร้าวเสียหายมิได้เกิดจากจำเลยที่ 1 ปลูกสร้างอาคารชุดจำเลยที่ 2 รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงฟังได้ว่า อาคารของโจทก์แตกร้าวเสียหายเกิดจากจำเลยที่ 1ปลูกสร้างอาคารชุดจำเลยที่ 2 รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์
ที่จำเลยทั้งสิบเอ็ดฎีกาว่า โจทก์ทราบถึงมูลละเมิดก่อนวันที่ 10 มิถุนายน 2530 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 10 มิถุนายน 2531 เกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคหนึ่ง นั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ การที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบเอ็ดรื้อถอนอาคารชุดจำเลยที่ 2ในส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินใช้อำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 บังคับให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดรื้อถอนอาคารชุดส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ไม่อยู่ในบังคับอายุความเรื่องละเมิด ส่วนกรณีหลังที่โจทก์ฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายที่อาคารของโจทก์เสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดโดยตรงนั้นได้ความว่า โจทก์อ้างว่าอาคารของโจทก์แตกร้าวเสียหายเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2530 โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดรื้อถอนอาคารชุดส่วนที่รุกล้ำ แต่จำเลยทั้งสิบเอ็ดเพิกเฉย ดังนั้น ตราบใดที่จำเลยทั้งสิบเอ็ดยังคงปล่อยให้มีการรุกล้ำดังกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสิบเอ็ดกระทำละเมิดต่อโจทก์ติดต่อกันมาอยู่ตราบนั้น โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายตราบเท่าที่ยังไม่มีการรื้อถอนอาคารชุดส่วนที่รุกล้ำ ดังนั้นคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share