แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องบรรยายมีใจความว่าโจทก์ได้ทำหนังสือสัญญาจะขายนาให้จำเลย โดยโจทก์จำเลยคบคิดกันจะกันไม่ให้ทายาทอื่นฟ้องแบ่งเอานารายนี้จากโจทก์ต่อมาจำเลยกลับฟ้องโจทก์ ให้โอนนาให้จำเลยตามสัญญาที่ทำขึ้น แล้วจำเลยอ้างหนังสือนั้นเป็นพยานและเบิกความเท็จว่าได้จ่ายเงินให้โจทก์หมดแล้ว ไม่ได้หักไว้ 2000 บาทตามที่เป็นจริง ดังนี้ ยังไม่เป็นฟ้องอันจะเป็นผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 155 หรือ 304
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องเพิ่มเติมฟ้องกล่าวหาเป็นใจความว่า โจทก์ได้ทำหนังสือสัญญาจะขายนาให้จำเลย โดยโจทก์จำเลยคบคิดกันจะกันไม่ให้นางเบ้า นางเรือนฟ้องแบ่งเอานารายนี้จากโจทก์ ต่อมานางเบ้าได้ฟ้องโจทก์ตามคดีที่ ๑๘๘/๒๔๙๐ ขอแบ่งนามรดกรายนี้ จำเลยก็ฟ้องโจทก์ตามคดีที่ ๑๒๙/๒๔๙๑ ให้โอนนาให้จำเลยตามสัญญาที่ทำขึ้นแล้วจำเลยอ้างหนังสือสัญญานั้นเป็นพยานและเบิกความเท็จว่าได้จ่ายเงินให้โจทก์หมดแล้ว ไม่ได้หักไว้ ๒๐๐๐ บาทตามที่เป็นจริง ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๐๔,๑๕๕ และ ๑๕๗
จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้ว่า สัญญานั้นได้ทำกันโดยสุจริต และจำเลยเบิกความไปตามจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อหาว่า จำเลยฉ้อโกง ตามคำบรรยาฟ้องเป็นแต่ว่าโจทก์กับจำเลยได้ปรึกษากันและตกลงกันทำหนังสือจะซื้อขายที่ดินกันขึ้น มิได้มีข้อความกล่าวหาเลยว่าจำเลยได้ใช้อุบายหลอกลวงด้วยเอาความเท็จมากล่าวโดยจำเลยมีเจตนาทุจริตคิดหลอกลวงให้โจทก์ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ อันจะเป็นความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๐๔ ฟ้องโจทก์ข้อนี้ไม่เป็นฟ้องที่ถูกต้อง จะรับไว้พิจารณาไม่ได้
ข้อหาว่าเบิกความเท็จ ก็มิได้บรรยายกล่าวหาว่าจำเลยได้สาบาลหรือปฏิญาณดังที่จะให้ถ้อยคำในการพิจารณาคดีนั้น แล้วจำเลยเอาความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จมาเบิกความในข้อสำคัญในคดีนั้นอย่างไรอันจะเป็นผิดตามมาตรา ๑๕๕ ฟ้องข้อนี้จึงไม่เป็นฟ้องที่ถูกต้องเช่นเดียวกัน
ฎีกาอีกข้อหนึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้าม จึงพิพากษายืน