คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10707/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ปัญหาว่าสัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์รับเอาส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้รับจากลูกความขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตกเป็นโมฆะหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ จึงเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยมีสิทธิยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง
ตามสัญญาจ้างว่าความกำหนดหลักเกณฑ์ในการคิดคำนวณค่าทนายความระหว่างโจทก์จำเลย โดยจำเลยจะต้องชำระค่าทนายความแก่โจทก์ตามผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกา ปรากฏว่าหากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี คงมีผลเพียงว่าจำเลยไม่ต้องแบ่งที่ดินให้แก่ ช. เท่านั้น ที่ดินดังกล่าวยังคงเป็นทรัพย์สินของจำเลยเช่นเดิม จำเลยหาได้ทรัพย์สินเพิ่มเติมจากการเป็นฝ่ายชนะคดีไม่ การที่คิดค่าทนายความตามผลคำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี จึงมิใช่เป็นการคิดค่าทนายความตามส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่จำเลยจะพึงได้รับจากการเป็นความ สัญญาว่าจ้างความจึงไม่ได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของตาม ป.พ.พ. มาตรา 587 ถือเอาผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญและการจ่ายสินจ้างต้องถือเอาความสำเร็จของผลงานหรือจ่ายสินจ้างตามที่ตกลงกันไว้ แม้จะตกลงค่าจ้างว่าความไว้ในอัตราสูงก็หาได้ทำให้สัญญาดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่ ข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับได้ โจทก์ชอบที่จะได้รับค่าว่าความเต็มจำนวน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนกันยายน 2538 จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความของจำเลยเพื่อเขียนคำฟ้องฎีกายื่นต่อศาลในคดีซึ่งนางซิ้วเฮียะเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอหย่าและแบ่งสินสมรส ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 971/2535 มีข้อตกลงว่า หากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ยกฟ้องในส่วนที่ดินตามฟ้องโฉนดเลขที่ 1379 ตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ที่ดินโฉนดเลขที่ 1182 ตำบลบึงสาน อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก และพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1134, 1380 ตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี และที่ดินโฉนดเลขที่ 2424 ตำบลบางมด อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร จำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เป็นเงิน 10,000,000 บาท หากศาลฎีกายกฟ้องที่ดินโฉนดเลขที่ 1176, 1179 ตำบลบึงสาน อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก จำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ 5,000,000 บาท โดยจะจ่ายให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา ซึ่งโจทก์ได้ยื่นคำฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามสัญญาที่ได้ตกลงกัน ต่อมาวันที่ 13 พฤษภาคม 2541 ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 1176 และ 1179 ให้โจทก์หนึ่งในสามส่วน ส่วนที่โจทก์ขอแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 1134, 1182, 1379, 1380 และ 2424 ให้ยก จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ 10,000,000 บาท แต่จำเลยไม่จ่ายค่าจ้างตามกำหนดถือว่าจำเลยผิดนัด จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 2541 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดชำระเงินถึงวันฟ้องเป็นเวลา 2 เดือน เป็นเงิน 125,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 10,125,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า สัญญาจ้างว่าความเกิดจากการหลอกลวงฉ้อฉลของโจทก์และนายมนูว่าจะสามารถวิ่งเต้นคดีได้โดยโจทก์และนายมนูอ้างว่าถ้าให้โจทก์ฟ้องฎีกาให้ จำเลยต้องทำสัญญาจ้างว่าความในจำนวนเงิน 10,000,000 บาท เพราะต้องนำเงินดังกล่าวไปให้ผู้พิพากษาผู้ที่วิ่งเต้นคดีให้จำเลย สัญญาจึงตกเป็นโมฆะ เนื้อความตามสัญญาจ้างว่าความขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เนื่องจากเป็นการอาศัยประโยชน์จากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งได้พิพากษาเป็นประโยชน์ต่อจำเลยอยู่แล้วและนางซิ้วเฮียะโจทก์ในคดีดังกล่าวไม่ได้ยื่นฎีกาแต่โจทก์กลับเขียนสัญญาโดยอาศัยประโยชน์จากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เรียกค่าจ้างดังกล่าวอีก จึงเป็นสัญญาที่เอาเปรียบจำเลยผู้ไม่รู้ เป็นสัญญาที่ไม่สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีกันได้ สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 1379 และเลขที่ 1182 ถึงแม้ศาลฎีกาจะพิพากษาให้จำเลยชนะคดีตามฎีกาโจทก์ก็ตาม แต่ตามฎีกาของโจทก์ โจทก์ได้หยิบข้อเท็จจริงที่ได้ต่อสู้กันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นไปตามบรรทัดฐานและแนวคำพิพากษาฎีกาเดิม การเรียกค่าจ้างของโจทก์สูงเกินความจริง ผิดมารยาททนายความที่ต้องคำนึงถึงลักษณะงานที่ทำ ความยากง่าย ระยะเวลาการทำงาน หาใช่ทุนทรัพย์ในคดีเป็นหลัก หากจำเลยต้องชำระค่าทนายความให้โจทก์ก็ไม่เกินจำนวน 20,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องห้ามมิให้คิดเกิน 125,000 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยถึงแก่ความตาย นายหัทธนัยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 10,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2533 นางซิ้วเฮียะเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอหย่าและแบ่งสินสมรส คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 1379, 13780 และ 1134 ตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ที่ดินโฉนดเลขที่ 1176, 1179 และ 1182 ตำบลบึงสาน อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ที่ดินโฉนดเลขที่ 2424 ตำบลบางมด อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ซึ่งทรัพย์สินทั้งหมดมีมูลค่า 117,120,000 บาท หากจำเลยไม่แบ่งสินสมรสให้แก่นนางซิ้วเฮียะกึ่งหนึ่งก็ให้แบ่งเงินให้แก่นางซิ้วเฮียะกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 58,560,000 บาท ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 137/2533 คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้นางซิ้วเฮียะและจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน และให้แบ่งสินสมรสระหว่างนางซิ้วเฮียะและจำเลยคนละครึ่งตามโฉนดที่ดินเลขที่ 1134, 1379 และ 1380 ตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ที่ดินโฉนดเลขที่ 1176, 1179 และ 1182 ตำบลบึงสาน อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก โดยให้จำเลยดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากจำเลยดำเนินการไม่ได้ให้นำที่ดินตามคำพิพากษาออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งแก่นางซิ้วเฮียะและจำเลย กับให้แบ่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเวนคืนที่ดินโฉนดเลขที่ 2424 ตำบลบางมด อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร แก่นางซิ้วเฮียะครึ่งหนึ่ง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยไม่ได้จดทะเบียนหย่าก็ไม่ต้องถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และที่นางซิ้วเฮียะฟ้องขอแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 1134, 1380 และ 2424 ด้วยนั้น ให้ยกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความของจำเลยเพื่อยื่นคำฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยมีข้อตกลงว่า หากศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 1134 และ 1380 ตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ที่ดินโฉนดเลขที่ 2424 ตำบลบางมด อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และพิพากษายกฟ้องที่ดินโฉนดเลขที่ 1379 ตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ที่ดินโฉนดเลขที่ 1182 ตำบลบึงสาน อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก จำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เป็นจำนวนเงิน 10,000,000 บาท หากศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องที่ดินโฉนดเลขที่ 1176 และ 1179 ตำบลบึงสาน อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายกจำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท โดยจะชำระค่าจ้างให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา ตามสัญญาจ้างว่าความเอกสารหมาย จ.13 ต่อมาวันที่ 13 พฤษภาคม 2541 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 1176 และ 1179 ให้นางซิ้วเฮียะหนึ่งในสาม คำขอของนางซิ้วเฮียะที่ให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 1134, 1182, 1379, 1380 และ 2424 นั้นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาเอกสารหมาย จ.24 แต่จำเลยไม่ชำระค่าจ้างว่าความแก่โจทก์
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกมีว่า สัญญาจ้างว่าความตามเอกสารหมาย จ.13 เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์รับเอาส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้รับจากลูกความจึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 หรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวในคำให้การ แต่ปัญหาว่าสัญญาจ้างว่าความในคดีนี้เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์รับเอาส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้รับจากลูกความขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตกเป็นโมฆะหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ จึงเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยมีสิทธิยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ศาลฎีกาเห็นสมควรรับวินิจฉัยให้ เห็นว่า ตามสัญญาจ้างว่าความข้อ 2 มีข้อความว่า ผู้ว่าจ้างตกลงให้ค่าจ้างกับผู้รับจ้างดังนี้ ข้อ 2.1 หากผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 1134, 1380 ตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ที่ดินโฉนดเลขที่ 2424 ตำบลบางมด อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และพิพากษายกฟ้องที่ดินโฉนดเลขที่ 1379 ตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานีที่ดินโฉนดเลขที่ 1182 ตำบลบึงสาน อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ผู้ว่าจ้างตกลงจ่ายค่าจ้างเป็นจำนวนเงิน 10,000,000 บาท และข้อ 2.2 มีข้อความว่า หากผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องที่ดินโฉนดเลขที่ 1176, 1179 ตำบลบึงสาน อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ผู้ว่าจ้างตกลงจ่ายค่าจ้างให้แก่ผู้รับจ้างเป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท ข้อความดังกล่าวเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ในการคิดคำนวณค่าทนายความระหว่างโจทก์จำเลย โดยจำเลยจะต้องชำระค่าทนายความแก่โจทก์เป็นจำนวนเงิน 10,000,000 บาท หรือ 5,000,000 บาท แล้วแต่กรณี ตามผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งต้องวินิจฉัยไปตามพยานหลักฐานที่คู่ความทั้งสองฝ่ายได้นำสืบกันไว้ในสำนวน หากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี คงมีผลเพียงว่าจำเลยไม่ต้องแบ่งที่ดินให้แก่นางซิ้วเฮียะเท่านั้น ที่ดินดังกล่าวยังคงเป็นทรัพย์สินของจำเลยเช่นเดิม จำเลยหาได้ทรัพย์สินเพิ่มเติมจากการเป็นฝ่ายชนะคดีไม่ การที่โจทก์คิดค่าทนายความตามผลคำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี จึงมิใช่เป็นการคิดค่าทนายความตามส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่จำเลยจะพึงได้รับจากการเป็นความ สัญญาว่าจ้างความดังกล่าวจึงไม่ได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และไม่ตกเป็นโมฆะดังที่จำเลยฎีกา
ปัญหาต้องวินิจฉัยข้อต่อไปว่า จำเลยต้องชำระค่าจ้างว่าความให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด จำเลยฎีกาว่า คดีนี้ไม่มีความยุ่งยากซับซ้อน แต่ค่าจ้างเขียนฎีกามีจำนวนสูงถึง 10,000,000 บาท เป็นเพราะโจทก์และนายมนูอ้างต่อจำเลยว่า จะต้องนำเงินไปวิ่งเต้นผู้พิพากษาเพื่อให้คดีจำเลยชนะ สัญญาจึงตกเป็นโมฆะนั้น เห็นว่า พยานหลักฐานของจำเลยในข้อนี้คงมีแต่ตัวจำเลยที่เบิกความว่า เหตุที่โจทก์เรียกค่าจ้างเป็นจำนวนสูงเพราะต้องนำเงินไปวิ่งเต้นผู้พิพากษา โดยไม่มีพยานหลักฐานใดๆ มาสนับสนุน ทั้งไม่มีรายละเอียดว่าโจทก์จะนำเงินไปให้แก่ผู้พิพากษาคนใด โดยวิธีการอย่างไร จึงไม่น่าเชื่อถือ ผิดกับพยานหลักฐานของโจทก์ซึ่งมีตัวโจทก์นายเมนู และนายมนู เป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกเอกสารหมาย จ.11 และสัญญาจ้างว่าความเอกสารหมาย จ.13 ว่า จำเลยให้นายมนูไปติดต่อขอให้โจทก์เป็นทนายความของจำเลยเพื่อยื่นฎีกา ตอนแรกจำเลยเสนอจะให้ค่าทนายความ 20,000,000 บาท ถึง 30,000,000 บาท เนื่องจากไม่ต้องการให้นางซิ้วเฮียะได้รับทรัพย์สินอย่างใดของจำเลย หรือให้ได้รับทรัพย์สินให้น้อยที่สุด โจทก์สอบถามข้อเท็จจริงจากจำเลยและตรวจสอบเอกสารที่จำเลยมอบให้แล้วจึงทำร่างฎีกาและอ่านให้จำเลยฟัง จำเลยพอใจร่างฎีกาดังกล่าวจึงตกลงว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความจำเลย จำเลยได้ประชุมกับพี่ชายจำเลยและนายมนูเกี่ยวกับค่าจ้างว่าความ นายมนูได้บันทึกเงื่อนไขการจ่ายค่าจ้างว่าความไว้ในแผ่นกระดาษตามเอกสารหมาย จ.11 มีข้อความว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 1134, 1380, 2424, 1379 และ 1182 ต้องชนะคดีโจทก์จึงจะได้ค่าจ้างว่าความ 10,000,000 บาท หากโฉนดที่ดินเลขที่ 1176, 1179 ชนะ โจทก์จะได้ค่าจ้างว่าความ 5,000,000 บาท โจทก์เห็นว่าค่าจ้างดังกล่าวเหมาะสมจึงตกลงรับเป็นทนายความของจำเลย และทำสัญญาจ้างว่าความไว้ตามเอกสารหมาย จ.13 มีเนื้อหาตามเงื่อนไขในเอกสารหมาย จ.11 ก่อนที่โจทก์จะยื่นฎีกาให้แก่จำเลย โจทก์ให้นายมนูอ่านข้อความในสัญญาจ้างว่าความให้จำเลยฟัง จำเลยเห็นว่าถูกต้องจึงลงลายมือชื่อไว้ นายมนู และนายมนูลงลายมือชื่อเป็นพยาน เห็นว่า นายมนูเป็นบุตรของพี่ชายจำเลย จึงมีศักดิ์เป็นหลายจำเลย ไม่น่าจะเบิกความให้ร้ายแก่จำเลยโดยปราศจากมูลความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายมนูเป็นผู้บันทึกเงื่อนไขการจ่ายค่าทนายความตามเอกสารหมาย จ.11 ตามความประสงค์ของจำเลย ซึ่งก็ตรงกับเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาข้อ 2.1 และ 2.2 ทั้งนายมนูได้อ่านข้อความในสัญญาจ้างว่าความให้จำเลยฟังก่อนที่จำเลยจะลงลายมือชื่อ หากข้อความที่กล่าวไว้ในสัญญาไม่ถูกต้องตรงกับความประสงค์อันแท้จริงของจำเลยแล้วจำเลยย่อมโต้แย้งเพื่อให้โจทก์แก้ไขให้ถูกต้องตรงกับความประสงค์ของจำเลยก่อนที่จะลงลายมือชื่อในช่องผู้ว่าจ้าง ทั้งจำเลยก็เบิกความยอมรับว่า ก่อนที่จำเลยจะลงลายมือชื่อในสัญญาจ้างว่าความนั้น นายมนูได้อ่านสัญญาให้จำเลยฟังแล้ว 1 ครั้ง และจำเลยได้อ่านเองอีก 2 ถึง 3 ครั้ง อันเป็นการเจือสมกับทางนำสืบของโจทก์ สนับสนุนให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือพฤติการณ์ของจำเลยที่ได้อ่านสัญญาจ้างว่าความเองอีก 2 ถึง 3 ครั้ง แล้วได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้ว่าจ้าง แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อความในสัญญาจ้างว่าความดังกล่าวเป็นอย่างดี พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ว่าจำเลยทำสัญญาจ้างว่าความกับโจทก์โดยความสมัครใจ มิได้ถูกบีบบังคับให้ลงลายมือชื่อในสัญญาจ้างว่าความหรือถูกโจทก์ นายมนู และนายมนูฉ้อฉลว่าจะนำเงินไปวิ่งเต้นผู้พิพากษาให้ตัดสินให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะดังที่จำเลยกล่าวอ้างไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาจ้างว่าความตามเอกสารหมาย จ.13 เป็นสัญญาที่ทำให้จำเลยเสียเปรียบและไม่เป็นธรรมแก่จำเลยนั้น เห็นว่า สัญญาจ้างว่าความดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 ถือเอาผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญและการจ่ายสินจ้างต้องถือเอาความสำเร็จของผลงาน หรือจ่ายสินจ้างตามที่ตกลงกันไว้ แม้จะตกลงค่าจ้างว่าความไว้ในอัตราสูงก็หาได้ทำให้สัญญาดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่ ข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับได้ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 1176 และ 1179 ให้นางซิ้วเฮียะหนึ่งในสาม คำขอของนางซิ้วเฮียะที่ให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 134, 1182, 1379, 1380 และ 2424 นั้นให้ยก ถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีและถือว่าโจทก์ทำงานที่จ้างสำเร็จ โจทก์ชอบที่จะได้รับค่าว่าความเต็มตามจำนวนที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้างว่าความแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 10,000 บาท แทนโจทก์

Share