คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4308/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฟ้องร้องให้ผู้รับจ้างรับผิดเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องอันมีอายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 601 นั้น ใช้บังคับแก่กรณีที่เกิดขึ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 600 กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีที่มิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา แล้วงานที่ทำเกิดการชำรุดบกพร่องขึ้นภายหลังส่งมอบ แต่กรณีตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องตามข้อสัญญาซึ่งกำหนดความรับผิดเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องไว้เป็นอย่างอื่น อันเป็นข้อสัญญาที่ตกลงกันไว้เป็นพิเศษอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ซึ่งผูกพันคู่สัญญาให้ต้องปฏิบัติตาม หาใช่เป็นเพียงข้อตกลงเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาซึ่งผู้รับจ้างต้องรับผิดเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องให้แตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 600 ไม่ เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้กำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหาย 194,312 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยทั้งสามฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่ม ก่อนอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นออกหมายแจ้งจำเลยที่ 1 และที่ 2 กำหนดวันนัดฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาในวันที่ 3 ธันวาคม 2540 โดยแจ้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระค่าขึ้นศาลส่วนที่ขาดตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาให้ครบเสียก่อนตามคำสั่งของศาลฎีกาด้วย การส่งหมายแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำได้โดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2550 ครั้นถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ในวันที่ 3 ธันวาคม 2550 ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ไปศาลโดยไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้อง และไม่ได้ชำระค่าขึ้นศาลให้ถูกต้องตามคำสั่งของศาลฎีกาภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในหมายแจ้งคำสั่งดังกล่าวอีกด้วย จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้น เป็นการทิ้งฟ้องฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบด้วย มาตรา 247 ให้จำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ออกจากสารบบความของศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยที่ 3 มิได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ คงมีแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การต่อสู้ แต่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ บรรดากระบวนพิจารณาซึ่งได้ทำโดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมถือว่าได้ทำโดยจำเลยที่ 3 ด้วย เพราะมิใช่กระบวนพิจารณาที่คู่ความร่วมคนหนึ่งกระทำไปเป็นที่เสื่อมเสียแก่คู่ความร่วมคนอื่น ๆ ทั้งนี้ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 (1) จำเลยที่ 3 จึงมีสิทธิฎีกาปัญหาเรื่องอายุความได้เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าข้อตกลงในสัญญาจ้างเป็นเพียงข้อตกลงเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาซึ่งผู้รับจ้างต้องรับผิดเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องให้แตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 600 ซึ่งไม่ว่าจะได้ตกลงกันไว้เช่นนี้หรือไม่ ก็ต้องนำอายุความ 1 ปี นับแต่วันการชำรุดบกพร่องได้ปรากฏขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 มาบังคับแก่คดีนั้น เห็นว่า การฟ้องร้องให้ผู้รับจ้างรับผิดเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องอันมีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 นั้น บทบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับแก่กรณีที่เกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 600 กล่าวคือต้องเป็นกรณีมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา แล้วงานที่ทำเกิดการชำรุดบกพร่องขึ้นภายหลังส่งมอบ จึงกำหนดให้ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันการชำรุดบกพร่องได้ปรากฎขึ้น คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจ้าง ข้อ 6 ซึ่งระบุว่า “เมื่องานแล้วเสร็จบริบูรณ์… หากมีเหตุชำรุดบกพร่องหรือเสียหายเกิดขึ้นจากงานจ้างนี้ภายในกำหนด 2 ปี นับถัดจากวันที่ได้รับมอบงานดังกล่าว ซึ่งความชำรุดบกพร่องหรือเสียหายนั้นเกิดจากความบกพร่องของผู้รับจ้างอันเกิดจากการใช้วัสดุที่ไม่ถูกต้อง หรือทำไว้ไม่เรียบร้อย หรือทำไม่ถูกต้องตามมาตรฐานแห่งหลักวิชา ผู้รับจ้างต้องรีบทำการแก้ไขให้เป็นที่เรียบร้อยโดยไม่ชักช้าโดยผู้ว่าจ้างไม่ต้องออกเงินใด ๆ ในการนี้ทั้งสิ้น หากผู้รับจ้างบิดพลิ้วไม่กระทำการดังกล่าว… ให้ผู้ว่าจ้างมีสิทธิที่จะทำการนั้นเองหรือจ้างผู้อื่นให้ทำงานนั้นโดยผู้รับจ้างต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย” ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นการกำหนดความรับผิดเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องไว้เป็นอย่างอื่น อันเป็นข้อสัญญาที่ตกลงกันไว้เป็นพิเศษอีกส่วนหนึ่งต่างหากซึ่งผูกพันคู่สัญญาให้ต้องปฏิบัติตาม หาใช่เป็นเพียงข้อตกลงเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาซึ่งผู้รับจ้างต้องรับผิดเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องให้แตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 600 ดังที่จำเลยที่ 3 ฎีกาเท่านั้นไม่ การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าซ่อมแซมงานจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน เนื่องจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ซ่อมแซมแก้ไขงานที่ชำรุดบกพร่องตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาข้อ 6 จึงเป็นการฟ้องในเหตุที่มีการผิดสัญญานั่นเอง กรณีดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความจึงถูกต้องแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share