แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
สัญญาซื้อขายมีข้อความชัดเจนว่า จำเลยตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยมีความประสงค์ขายขาดในราคา 60,000 บาท และได้จ่ายเงินถูกต้องตามที่ตกลงในวันทำสัญญาแล้ว แม้การซื้อขายจะไม่ชอบเพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรก ก็ตาม แต่ที่ดินที่ซื้อขายกันเป็นเพียงที่ดินมี น.ส.3ก. ซึ่งยังไม่เคยมีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์เจ้าของที่ดินจึงมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น เมื่อจำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทและโจทก์เข้าครอบครองแล้วโจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377,2378 ซึ่งหาจำต้องทำตามแบบของนิติกรรมไม่ โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาด้วยการครอบครองตามกฎหมายมิใช่เป็นการได้มาตามสัญญาซื้อขาย โจทก์จึงหามีสิทธิที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยไปโอนชื่อทางทะเบียนเป็นชื่อโจทก์ได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) เลขที่ 329 เนื้อที่ 5 ไร่1 งาน 47 ตารางวา เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2526 จำเลยตกลงขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ในราคา 60,000 บาท เนื่องจากจำเลยเขียนหนังสือไม่เป็น จึงมอบให้นายศรีนวล จันทาพรม บุตรชายของจำเลยเป็นผู้ทำสัญญาและรับเงินแทน จากนั้นจำเลยได้ส่งมอบสิทธิการครอบครองในที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ในวันทำสัญญา โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวตลอดมาจนถึงปัจจุบัน แต่การทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวมิได้มีการโอนชื่อทางทะเบียนให้แก่โจทก์ เพราะขณะทำสัญญาซื้อขายกันนั้น จำเลยอ้างว่าได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินดังกล่าวไปเป็นหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดนครพนมจึงไม่อาจโอนชื่อทางทะเบียนได้ จำเลยตกลงจะดำเนินการโอนชื่อทางทะเบียนให้แก่โจทก์ในภายหลัง ต่อมาเมื่อต้นปี 2532 โจทก์ได้ติดต่อจำเลยเพื่อให้จำเลยดำเนินการโอนชื่อทางทะเบียน แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้จำเลยโอนชื่อทางทะเบียนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) เลขที่ 329 หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) ทะเบียนเลขที่ 329เนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 47 ตารางวา จำเลยไม่เคยขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ และไม่เคยมอบอำนาจให้นายศรีนวล จันทาพรมทำสัญญาซื้อขายหรือรับเงินจากโจทก์ สัญญาซื้อขายดังกล่าวโจทก์เป็นผู้ทำปลอมขึ้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยโอนชื่อทางทะเบียนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) ทะเบียนเลขที่ 329 เป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทตกเป็นโมฆะเพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456ซึ่งเป็นบทบัญญัติเฉพาะลักษณะการซื้อขายซึ่งกำหนดให้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด แม้จะเข้าแบบนิติกรรมอย่างอื่นก็ไม่มีผลสมบูรณ์นั้นศาลฎีกาเห็นว่า การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงมาว่า โจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาตั้งแต่ปี 2526 จนปัจจุบัน จำเลยและบริวารไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องหรือโต้แย้งคัดค้านการครอบครองซึ่งโจทก์ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลย โดยจำเลยให้บุตรชายลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขายแทน การที่จำเลยรู้เห็นยินยอมให้บุตรชายลงลายมือชื่อแทนจะอ้างว่าตนมิได้มอบอำนาจให้ทำแทนหาได้ไม่ เมื่อพิเคราะห์ข้อความในสัญญาซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.2 แล้วจะเห็นได้ว่าสัญญาดังกล่าวมีข้อความชัดเจนว่า จำเลยตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โดยมีความประสงค์ขายขาดในราคา 60,000 บาท และได้จ่ายเงินถูกต้องตามที่ตกลงในวันทำสัญญาแล้ว แม้การซื้อขายจะไม่ชอบเพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตกเป็นโมฆะตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรก ก็ตามแต่ที่ดินที่ซื้อขายกันเป็นเพียงที่ดินที่มี น.ส.3ก. ซึ่งยังไม่เคยมีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ เจ้าของที่ดินจึงมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น เมื่อจำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทและโจทก์เข้าครอบครองแล้วโจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377, 1378 ซึ่งหาจำต้องทำตามแบบของนิติกรรมไม่ และการโอนโดยข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่เป็นโมฆะดังที่จำเลยฎีกา แต่ที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยโอนชื่อทางทะเบียนใน น.ส.3 ให้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อคดีฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทด้วยการครอบครองตามกฎหมาย มิใช่เป็นการได้มาตามสัญญาซื้อขายโจทก์จึงหามีสิทธิที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยไปโอนชื่อทางทะเบียนเป็นชื่อโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลของคำพิพากษาแต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยโอนชื่อทางทะเบียนที่ดินพิพาทเป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนานั้นไม่ถูกต้องศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยไปโอนชื่อทางทะเบียนที่ดินเป็นชื่อโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1