คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2682/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยทำสัญญาจะขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้และโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา โดยจำเลยได้รับ ชำระราคาจากโจทก์แล้วตั้งแต่ปี 2521 โจทก์ซึ่งสิทธิยึดหน่วงที่ดินพิพาท มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้ไปดำเนินการยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกเพื่อ จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ต่อเจ้าพนักงานได้ ฟ้องโจทก์ ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/27

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณต้นเดือนเมษายน 2521 จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินบางส่วนด้านทิศตะวันออกตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เนื้อที่ 2 ไร่ แก่โจทก์ ราคา 600 บาท โจทก์ชำระราคาที่ดินแก่จำเลยครบถ้วนแล้วจำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ โดยตกลงจะไปจดทะเบียนซื้อขายกันในภายหลัง หลังจากทำสัญญาโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโดยตลอด โดยจำเลยรับรองตลอดมาว่าจะไปจดทะเบียนซื้อขายและโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ต่อมาต้นปี 2536 โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยไปดำเนินการดังกล่าวแต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยไปดำเนินการขอแบ่งแยกและจดทะเบียนการซื้อขายโอนที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ตามสำเนารูปแผนที่สังเขปท้ายฟ้องแก่โจทก์ หากไม่ไปขอให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายและไม่ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ โจทก์ไม่เคยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทฟ้องโจทก์ขาดอายุความและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ถึงแก่กรรม นายสมศักดิ์ พิลาพันธ์ ทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังมาโดยที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้เถียงว่า เมื่อปี 2521 จำเลยตกลงจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 1863 ตำบลอำนาจ อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันตำบลแมด กิ่งอำเภอลืออำนาจ จังหวัดอำนาจเจริญ) ตามเอกสารหมาย จ.1 บางส่วนเนื้อที่ 2 ไร่ ตามแผนที่สังเขปเอกสาร จ.2 อันเป็นที่ดินพิพาทแก่โจทก์ คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เมื่อได้ความว่าจำเลยทำสัญญาจะขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทตามแผนที่เอกสารหมาย จ.2 ให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยจำเลยได้รับชำระราคาที่ดินพิพาทจากโจทก์แล้ว สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีผลใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง เมื่อโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขายโจทก์จึงมีสิทธิยึดหน่วงที่ดินพิพาทไว้จนกว่าโจทก์จะได้รับโอนที่ดินพิพาททางทะเบียนตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 ดังนั้น แม้จะได้ความว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกันตั้งแต่ปี 2521 ก็ตาม โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงก็มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้ไปดำเนินการยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกเพื่อจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ต่อเจ้าพนักงานได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/27 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้จำเลยไปดำเนินการขอแบ่งแยกที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1863 ตำบลอำนาจ อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันตำบลแมด กิ่งอำเภอลืออำนาจ จังหวัดอำนาจเจริญ) เฉพาะส่วนทางด้านทิศตะวันออก เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ในส่วนที่ตกลงจะซื้อจะขายกันตามสำเนาแผนที่ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

Share