คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 504-505/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 3 ชี้ให้โจทก์ร่วมดูบ้านและที่ดิน จำเลยที่ 2 มีอาชีพเป็นนายหน้าชักชวนโจทก์ร่วมมาดูที่ดินและรับซื้อฝาก เชื่อว่าจำเลยที่ 2 ร่วมรู้เห็นด้วย ในลักษณะเป็นตัวการร่วมกันแต่แบ่งงานกันทำ เมื่อที่ดินที่โจทก์ร่วมรับซื้อฝากตามสัญญาขายฝากที่ดินเป็นคนละแปลงกับที่จำเลยทั้งสามร่วมกันหลอกลวงให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อ ทั้งไม่มีทาวน์เฮาส์ปลูกอยู่ จำเลยทั้งสามจึงมีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง
โจทก์ร่วมรับซื้อฝากที่ดินไว้โดยสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม นิติกรรมย่อมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 คู่กรณีต้องกลับคืนสู่สถานะเดิม จำเลยทั้งสามจะต้องร่วมกันคืนเงินที่รับซื้อฝากไว้ให้แก่โจทก์ร่วมก็ต่อเมื่อโจทก์ร่วมต้องคืนที่ดินที่รับซื้อฝากไว้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ร่วมไม่ได้เสนอที่จะคืนที่ดินดังกล่าว ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมได้ชำระเงินค่าที่ดินที่ซื้อฝากไปเท่าใด ศาลจึงไม่อาจสั่งให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงิน 400,000 บาท แก่โจทก์ร่วมได้ ชอบที่โจทก์ร่วมจะต้องไปว่ากล่าวในทางแพ่งต่อไป ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยทั้งสามมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยเรียกนายสุรทินกาญจนรัตน์ ว่าจำเลยที่ 1 นางสำราญ แซ่เจ็ง ว่าจำเลยที่ 2 และนางเรียม บุญศรีว่าจำเลยที่ 3

โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนใจความว่า จำเลยทั้งสามโดยทุจริตได้ร่วมกันหลอกลวงนายเสริม ศิริสัมพันธ์ ผู้เสียหาย ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าที่ดินจำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 51 ตารางวา พร้อมทาวน์เฮาส์ 1 หลัง ตั้งอยู่ที่ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นของจำเลยที่ 1 จะนำมาขายฝากแก่ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นความเท็จโดยการหลอกลวงของจำเลยทั้งสาม ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงเข้าทำสัญญาขายฝากที่ดินกับจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสามได้เงินที่ขายฝากจำนวน 400,000 บาทไป ความจริงแล้วที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์เป็นของผู้อื่นไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันกล่าวเท็จหลอกลวงผู้เสียหาย เพื่อเป็นอุบายหลอกลวงให้ผู้เสียหายส่งมอบเงินจำนวน 400,000 บาทให้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินจำนวน 400,000 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณานายเสริม ศิริสัมพันธ์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 จำคุกคนละ 4 เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ 2 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์ โดยอัยการพิเศษประจำเขต 2 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 จำคุก 4 เดือน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินจำนวน 400,000 บาท แก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสามฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุโจทก์ร่วมได้รับซื้อฝากที่ดินตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.2 ไว้จากจำเลยที่ 1 โดยทำหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินกันตามเอกสารหมาย จ.1 มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันหลอกลวงให้โจทก์ร่วมรับซื้อฝากที่ดินแปลงดังกล่าวไว้อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้องหรือไม่ เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า คดีของโจทก์และโจทก์ร่วมขาดอายุความดังจำเลยทั้งสามฎีกาหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกแฉล้ม พนักงานสอบสวนว่า โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2539 โดยโจทก์ร่วมอ้างว่าทราบเรื่องที่ถูกหลอกลวงให้รับซื้อฝากที่ดินเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2539 ซึ่งโจทก์ร่วมเบิกความยืนยันว่า เมื่อโจทก์ร่วมเห็นมีหมายศาลปิดประกาศขายทอดตลาดบ้านและที่ดินโจทก์ร่วมได้ไปตรวจสอบโฉนดที่ดินที่สำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง จึงพบว่าที่ดินที่รับซื้อฝากไว้เป็นคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ชี้ให้ดูจำเลยทั้งสามมิได้มีพยานมานำสืบหักล้างให้เห็นว่าโจทก์ร่วมทราบว่าโจทก์ร่วมถูกหลอกลวง ให้รับซื้อฝากที่ดินไว้เกิน 3 เดือน แล้วจึงไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด ได้แต่ยกเหตุผลคาดคะเนเอาเองในฎีกา ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่า โจทก์ร่วมได้ร้องทุกข์ภายใน 3 เดือนนับแต่วันรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด คดีของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 96 ฎีกาของจำเลยทั้งสามในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่นั้น โจทก์และโจทก์ร่วมมีพยานคือตัวโจทก์ร่วมเองที่เบิกความยืนยันว่าก่อนที่จะรับซื้อฝากที่ดินของจำเลยที่ 1 ไว้ 1 วัน จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายหน้าเป็นผู้ชักชวนให้โจทก์ร่วมไปดูที่ดินที่สำนักงานโครงการของจำเลยที่ 3 โจทก์ร่วมจึงไปดูโดยมีนางสาวพรทิพย์ไปด้วยและเมื่อไปถึงโจทก์ร่วมเบิกความต่อไปว่า พบจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 และภริยาของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 2 ได้ชวนโจทก์ร่วมไปดูที่ดินซึ่งอยู่ห่างสำนักงานของจำเลยที่ 3 ประมาณ 100 เมตร โดยจำเลยทั้งสามและนางสาวพรทิพย์ไปด้วยในข้อที่นางสาวพรทิพย์ได้ไปดูด้วยนี้ นอกจากนางสาวพรทิพย์จะเบิกความยืนยันแล้วจำเลยที่ 2 ก็นำสืบรับว่านางสาวพรทิพย์ได้ไปดูที่ดินด้วย เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์ร่วมและนางสาวพรทิพย์ได้ไปดูที่ดินด้วยกัน โจทก์ร่วมยืนยันว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ชี้ให้ดูบ้านและที่ดินแปลงที่จะขายฝาก ซึ่งโจทก์ร่วมก็ได้เข้าไปดูพบว่าบ้านที่จะรับซื้อฝากเป็นทาวน์เฮาส์ชั้นเดียว มีต้นไม้ปลูกอยู่ในที่ดินจำเลยที่ 2 เป็นคนพูดว่าจะขายฝาก 400,000 บาท แม้นางสาวพรทิพย์พยานอีกปากหนึ่งของโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งไปดูที่ดินด้วยจะเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า พบจำเลยที่ 1 เป็นครั้งแรกในวันจดทะเบียนซื้อฝาก ทั้ง ๆ ที่ตอนเบิกความตอบคำถามของโจทก์นางสาวพรทิพย์ยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ได้ไปดูที่ดินด้วยก็ตาม แต่ก็ไม่อาจถือว่าขัดแย้งหรือแตกต่างกับคำให้การพยานของโจทก์ร่วมอันจะทำให้คำเบิกความของโจทก์ร่วมเสียไปแต่อย่างใด เพราะเท่ากับว่าลำพังคำเบิกความของนางสาวพรทิพย์ทำให้น่าสงสัยว่านางสาวพรทิพย์เองได้พบจำเลยที่ 1 ในขณะไปดูที่ดินกับโจทก์ร่วมหรือไม่เท่านั้น มิได้ยืนยันลงไปว่าไม่ได้พบทั้งโจทก์ร่วมมีอาชีพทางรับซื้อฝากเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องตรวจดูทรัพย์สินที่จะรับซื้อฝากด้วยความระมัดระวังตามสมควร ในหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 3 ก็ระบุว่า ขายฝากพร้อมทาวน์เฮาส์ชั้นเดียวหนึ่งคูหา ขนาด 4 x 10 เมตร ไม่มีเลขที่ ชั้นจับกุมจำเลยที่ 3 ก็รับสารภาพ จึงน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ชี้ให้โจทก์ร่วมดูบ้านและที่ดินคนละแปลงกับที่ระบุไว้ในสัญญาขายฝากที่ดินจริง การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งมีอาชีพเป็นนายหน้าชักชวนโจทก์ร่วมมารับซื้อฝากโดยพฤติการณ์เช่นนี้เชื่อว่าจำเลยที่ 2 ร่วมรู้เห็นด้วย ลักษณะเป็นตัวการร่วมกันแต่แบ่งงานกันทำเมื่อความจริงปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์ร่วมรับซื้อฝากไว้เป็นคนละแปลงกับที่จำเลยทั้งสามร่วมกันหลอกลวงให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อ ทั้งไม่มีทาวน์เฮาส์ปลูกอยู่ จำเลยทั้งสามก็ต้องมีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงตามฟ้อง พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสามไม่อาจรับฟังหักล้างได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามชอบแล้วฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินจำนวน400,000 บาท แก่โจทก์ร่วมด้วยนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ร่วมรับซื้อฝากที่ดินไว้โดยสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมเช่นนี้ นิติกรรมการขายฝากย่อมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 คู่กรณีต้องกลับคืนสู่สถานะเดิม จำเลยทั้งสามจะต้องร่วมกันคืนเงินที่รับซื้อฝากไว้ให้แก่โจทก์ร่วม ก็ต่อเมื่อโจทก์ร่วมต้องคืนที่ดินที่รับซื้อฝากไว้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ร่วมไม่ได้เสนอที่จะคืนที่ดินดังกล่าว ทั้งข้อเท็จจริงที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบก็ไม่ได้ความชัดเจนว่า โจทก์ร่วมได้ชำระเงินค่าที่ดินที่ซื้อฝากไปเท่าใด จึงไม่อาจสั่งให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงิน 400,000 บาท แก่โจทก์ร่วมได้ ชอบที่โจทก์ร่วมจะต้องไปว่ากล่าวในทางแพ่งต่อไป คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในส่วนนี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยทั้งสามมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์และโจทก์ร่วมที่ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงิน 400,000 บาท แก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share