แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์เรียกค่าซื้อสิ่งของแล้วโจทก์ถอนฟ้องศาลจังหวัดกาฬสินธุ์อนุญาตแล้ว จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลอนุญาตให้ถอนฟ้อง ขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดขอนแก่นเป็นคดีนี้ในมูลหนี้อันเดียวกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 โจทก์จะนำคดีเรื่องเดียวกันนั้นมาฟ้องจำเลยอีกมิได้ไม่ว่าจะฟ้องต่อศาลเดิมนั้นเองหรือศาลอื่น และคดีเดิมจะอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลเดียวกันหรือของศาลอื่นหรืออยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาก็ตาม แม้คดีเดิมนั้นโจทก์จะถอนฟ้องไปและศาลชั้นต้นอนุญาตแล้วแต่จำเลยยังอุทธรณ์ฎีกาต่อมา ซึ่งถ้าหากศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกากลับคำสั่งของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ไม่ยอมให้ถอนฟ้อง โจทก์ก็ต้องดำเนินคดีเรื่องเดียวกันนั้นไปทั้งสองเรื่อง ซึ่งไม่ใช่ความประสงค์ของกฎหมาย บทบัญญัติมาตรา 176 ที่ว่าเมื่อถอนฟ้องแล้วย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องและทำให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลยและอาจยื่นฟ้องใหม่ได้ภายใต้บังคับบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความนั้น หมายความว่าการถอนฟ้องนั้นได้ถึงที่สุดไปแล้ว ไม่มีคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลใดศาลหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 466/2503 และ 455/2511)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยให้ตัวแทนมาซื้อเครื่องทำไฟฟ้าจากโจทก์และออกเช็คชำระราคาเช็คขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยได้ชำระเงินให้บ้างยังค้างชำระอยู่ ๔,๕๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ไม่เคยให้ตัวแทนซื้อสิ่งของจากโจทก์ จำเลยออกเช็คให้ไว้ประกันการรับจ้างฉายภาพยนตร์ จำเลยไม่ต้องรับผิดและตัดฟ้องว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๑/๒๕๑๓ ของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งอยู่ในระหว่างอุทธรณ์
วันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยแถลงสละข้อต่อสู้ทั้งหมด คงไว้แต่ปัญหาที่ว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่
ศาลชั้นต้นสอบโจทก์ โจทก์แถลงว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยตามคดีดังกล่าวเรียกค่าซื้อสิ่งของในมูลหนี้อันเดียวกันนี้ต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์จริง แต่คดีนั้นโจทก์ถอนฟ้อง และศาลอนุญาตแล้ว จำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งที่ศาลอนุญาตให้ถอนฟ้อง ศาลอุทธรณ์สั่งยืนตามศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ขณะนี้จำเลยฎีกาคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายข้อนี้เพียงข้อเดียว โดยโจทก์จำเลยไม่ขอสืบพยานต่อไป ศาลชั้นต้นอนุญาต แล้ววินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ถอนฟ้องและจำเลยอุทธรณ์คำสั่งนั้น ยังไม่ถือว่าคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาเพราะยังไม่ถึงขั้นทำการพิจารณาประเด็นแห่งคดีคงเพียงวินิจฉัยว่า ควรอนุญาตให้ถอนฟ้องหรือไม่เท่านั้น โจทก์ฟ้องใหม่ได้ทันที ไม่จำต้องรอให้คดีถึงที่สุด จึงพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๕/๒๕๑๓ (คดีหมายเลขแดงที่ ๑๑/๒๕๑๓) เรียกค่าซื้อสิ่งของในมูลหนี้อันเดียวกันนี้แล้วโจทก์ถอนฟ้องไป ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์อนุญาตแล้ว จำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งที่ศาลอนุญาตให้ถอนฟ้องคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเพียงว่า การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เป็นการฟ้องซ้อนกับคดีก่อนหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง บัญญัติว่า “นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้
(๑) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น……..ฯลฯ”
ตามบทบัญญัติมาตรานี้จะเห็นได้ว่า ถ้าคดีก่อนค้างพิจารณาอยู่ในศาลแล้ว โจทก์จะนำคดีเรื่องเดียวกันนั้นมาฟ้องจำเลยอีกไม่ได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะฟ้องต่อศาลเดิมนั้นเองหรือศาลอื่นก็ตาม เพราะจะเป็นการฟ้องคดีซ้อนกันคำว่า “คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา” นั้น เห็นว่า จะอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลเดียวกันหรือของศาลอื่นก็ตาม หรืออยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็ตามย่อมฟ้องใหม่ไม่ได้ ตามนัยฎีกาที่ ๔๖๖/๒๕๐๓และ ๔๕๕/๒๕๑๑ คดีเดิมนั้นแม้โจทก์จะถอนฟ้องไป และศาลชั้นต้นอนุญาตแล้วก็ตาม แต่จำเลยยังอุทธรณ์และฎีกาต่อมา ซึ่งหากศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกากลับคำสั่งของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ไม่ยอมให้ถอนฟ้อง โจทก์ก็ต้องดำเนินคดีเรื่องเดียวกันนั้นไปทั้งสองเรื่อง ซึ่งไม่ใช่ความประสงค์ของกฎหมาย ตามมาตรา ๑๗๖ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ว่า เมื่อถอนฟ้องแล้วย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้อง และทำให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิม เสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลย และอาจยื่นฟ้องใหม่ได้ภายใต้บังคับบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความนั้น หมายความว่าการถอนคำฟ้องนั้นได้ถึงที่สุดไปแล้วไม่มีคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลในศาลหนึ่ง ดังนั้น ศาลฎีกาจึงเห็นว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์