แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เอกสารที่จะเข้าลักษณะเป็นสัญญาค้ำประกันต้องมีข้อความที่ให้ความหมายว่าเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้แล้วบุคคลภายนอกนั้นจะยอมชำระหนี้แทนแต่เอกสารพิพาทมีข้อความว่า”ข้าพเจ้านางสาวอ. (จำเลยที่2)นางสาวด. (จำเลยที่3)ขอรับรองว่าจะนำโฉนดที่ดิน(ระบุเลขโฉนด)มอบให้ม. ในวันที่13มีนาคม2531เพื่อเป็นหลักทรัพย์ซึ่งน. (จำเลยที่1)ได้บกพร่องต่อทางราชการสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรีตามความเป็นจริงที่น. ได้กระทำเท่านั้น”เมื่อเอกสารดังกล่าวไม่ปรากฏข้อความที่ให้ความหมายว่าถ้าจำเลยที่1ไม่ชำระหนี้แล้วจำเลยที่2และที่3จะชำระแทนจึงไม่ใช่เอกสารที่แสดงว่าจำเลยที่2และที่3ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่1
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 คืนหรือชดใช้เงินจำนวน66,280 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หรือให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 66,820 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแทนจำเลยที่ 1 นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลย ที่ 1 ขาดนัด ยื่นคำให้การ และ ขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า นายแพทย์มนู สาริกะภูตินายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี ผู้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1ได้ใช้อุบายหลอกลวงให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 7 เอกสารดังกล่าวมิใช่หนังสือสัญญาค้ำประกัน หรือหนังสือรับสภาพหนี้ และมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่วันที่รู้ตัวผู้กระทำละเมิด คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินจำนวน 66,820 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ยกฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท คู่ความต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ฎีกาโจทก์ที่กล่าวว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3มีเจตนาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 เพื่อให้ฟังประกอบเอกสารหมายจ.2 ว่าเป็นหนังสือค้ำประกันนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยคงมีปัญหาข้อกฎหมายในเรื่องการตีความเอกสารหมาย จ.2 ว่าเข้าลักษณะเป็นสัญญาค้ำประกันหรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 680 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “อันว่า ค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น” เอกสารที่จะเข้าลักษณะเป็นสัญญาค้ำประกันจึงต้องมีข้อความที่ให้ความหมายว่าเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้แล้วบุคคลภายนอกนั้นจะยอมชำระหนี้แทนเมื่อพิเคราะห์เอกสารหมาย จ.2 ที่โจทก์อ้างเข้าลักษณะเป็นสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีข้อความว่า “ข้าพเจ้านางสาวอัญชลี ไชยวงศ์ (จำเลยที่ 2) นางสาวดารณี ไชยวงศ์(จำเลยที่ 3) ขอรับรองว่าจะนำโฉนดที่ดิน (ระบุเลขโฉนด) มอบให้นายแพทย์มนู สาริกะภูติ สาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี ในวันที่13 มีนาคม 2531 เพื่อเป็นหลักทรัพย์ซึ่งนางนิตยา ไชยวงศ์(จำเลยที่ 1) ได้บกพร่องต่อทางราชการสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี ตามความเป็นจริงที่นางนิตยา ไชยวงศ์ ได้กระทำเท่านั้น” เห็นว่า เอกสารดังกล่าวไม่ปรากฏข้อความที่ให้ความหมายว่าถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้แล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะชำระแทนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่า เอกสารหมาย จ.2 ไม่ใช่เอกสารที่แสดงว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน