คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7086/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่1ชำระหนี้และบังคับจำนองโดยอ้างว่าจำเลยที่1ผิดสัญญาวงเงินสินเชื่อและสัญญาจำนองเพราะไม่ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่1ออกให้แก่โจทก์ตามที่กำหนดไว้ในข้อสัญญาดังกล่าวจำเลยที่1ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหายโดยอ้างว่าโจทก์ได้ให้สัญญาว่าจะให้จำเลยที่1กู้เงินเพื่อพัฒนาที่ดินและก่อสร้างอาคารต่อเนื่องเพิ่มเติมอีกแล้วโจทก์ไม่ยอมให้จำเลยที่1กู้เงินตามข้อตกลงเป็นการผิดสัญญาทำให้จำเลยที่1เสียหายดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยที่1เป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้องจึงไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมเป็นฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาวงเงินสินเชื่อกับโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 200, 203,204, 205 และ 206 และที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 60 พร้อมสิ่งปลูกสร้างรวม 6 แปลงซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่งจังหวัดพังงา ให้ไว้แก่โจทก์ในวงเงิน 40,000,000 บาท จำเลยที่ 2และที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันผูกพันตนเพื่อชำระหนี้ของจำเลยที่ 1ในต้นเงิน 40,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามที่จำเลยที่ 1ต้องรับผิดต่อโจทก์ โดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วมหลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์อาวัลตั๋วเงินรวมทั้งออกตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายลดหรือแลกเงินสดตามสัญญาวงเงินสินเชื่อจากโจทก์และออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ชำระหนี้แทนตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมให้แก่โจทก์เรื่อยมา คำนวณถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2536จำเลยที่ 1 มีหนี้ค้างชำระตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมและตามสัญญาวงเงินสินเชื่อเป็นเงินต้น 40,000,000 บาท จำเลยที่ 1ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ ดี.32424 สั่งจ่ายเงิน 40,000,000 บาทกำหนดชำระในวันที่ 25 กรกฎาคม 2536 ให้แก่โจทก์ โดยตกลงจะชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีตามที่ระบุไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นรายเดือนทุกเดือน หากผิดนัดชำระดอกเบี้ยเดือนใดเดือนหนึ่งถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมด จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินเรื่อยมาจนกระทั้งตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดชำระจำเลยที่ 1 ก็ผิดนัดไม่ชำระหนี้เงินต้นตามตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์เพียงแต่ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์จนถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2536 เท่านั้น โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนอง และมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ชำระหนี้ แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ21 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2536 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา11 เดือน 20 วัน เป็นเงิน 8,146,849.33 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 48,146,849.33 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 48,146,849.33 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 40,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องในการดำเนินธุรกิจของจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1กู้เงินในลักษณะการขายลดตั๋วเงินและอาวัลตั๋วเงิน โดยในชั้นแรกโจทก์ให้จำเลยที่ 1 กู้เงินเพื่อนำเงินมาชำระค่าที่ดินบางส่วนเป็นเงิน 40,000,000 บาท โดยค่าที่ดินในส่วนที่เกินกว่านี้จำเลยที่ 1 จะเป็นผู้จัดหาเอง สำหรับการให้กู้เงินอีกส่วนหนึ่งนั้นโจทก์จะให้จำเลยที่ 1 กู้เพื่อนำมาพัฒนาที่ดินจัดทำสาธารณูปโภคต่าง ๆ รวมทั้งการตัดถนนทางเดินเท้าและที่จอดรถปรับปรุงสถานที่ตลอดจนค่าก่อสร้าง ค่าบริหารโครงการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนเงินกู้จำนวน 40,000,000 บาทดังกล่าวนั้นไม่ได้กำหนดระยะเวลาชำระคืน จำเลยที่ 1 จะชำระเพียงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แก่โจทก์ ส่วนต้นเงินเมื่อถึงกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำเลยที่ 1 จะออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ให้แก่โจทก์เรื่อยไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะขายทรัพย์สินในโครงการได้ จึงจะชำระต้นเงินให้โจทก์ แต่โจทก์ผิดสัญญาไม่ให้จำเลยที่ 1 กู้เงินอีก 30,000,000 บาท เพื่อพัฒนาโครงการหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจึงยังไม่ถึงกำหนดชำระ โจทก์ไม่สามารถฟ้องเรียกเงินดังกล่าวคืนได้ ต่อมาจำเลยที่ 1 ขอกู้เงินเป็นทุนหมุนเวียนและปรับปรุงสาธารณูปโภคเพิ่มอีก 46,000,000 บาทโจทก์แจ้งว่าจะพิจารณาอนุมัติ จำเลยที่ 1 พัฒนาปรับปรุงที่ดินจนกระทั่งโจทก์ฟ้องคดีนี้ การบอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบ การที่โจทก์ผิดสัญญาไม่ให้จำเลยกู้เงินเพิ่มนั้น ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายโดยขาดกำไรสุทธิ 163,842,042 บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย 163,842,042 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะคำให้การของจำเลยที่ 1 สำเนาให้โจทก์ ส่วนฟ้องแย้งนั้นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมจึงไม่รับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับฟ้องเดิมอันจะรับไว้พิจารณาได้หรือไม่ เห็นว่าโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้และบังคับจำนองโดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาวงเงินวงเงินสินเชื่อและสัญญาจำนองเพราะไม่ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1ออกให้แก่โจทก์ตามที่กำหนดไว้ในข้อสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ 1ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหายโดยอ้างว่าโจทก์ได้ให้สัญญาว่าจะให้จำเลยที่ 1 กู้เงินเพื่อพัฒนาที่ดินและก่อสร้างอาคารต่อเนื่องเพิ่มเติมอีก แล้วโจทก์ไม่ยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เงินตามข้อตกลงเป็นการผิดสัญญา ทำให้จำเลยที่ 1 เสียหาย ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้อง จึงไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมเป็นฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share