คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1064/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2 และผู้ตายอีกฝ่ายหนึ่งชุลมุนต่อสู้กัน จำเลยที่ 2 กับผู้ตายชกจำเลยที่ 1 ก่อน แล้วจำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์ไล่แทงจำเลยที่ 1จำเลยที่ 3 ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตายถูกที่ฝ่ามือ จำเลยที่ 1จึงคว้าไม้เหลี่ยมกว้าง 3 นิ้วฟุต ยาวประมาณ 1 แขนตีผู้ตาย ดังนี้ เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ใช้ไม้ตีผู้ตายไปในขณะที่ชุลมุนต่อสู้กัน โดยคว้าไม้ซึ่งวางอยู่ตรงนั้นเองตีผู้ตายไปโดยไม่ได้ใช้ไม้ตีผู้ตายไปในขณะที่ชุลมุนต่อสู้กัน โดยคว้าไม้ซึ่งวางอยู่ตรงนั้นเองตีผู้ตายไปโดยไม่ได้เลือกตี และตีเพียงทีเดียว พฤติการณ์แห่งคดีฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำไปโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ 1คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 294,295 โทษเท่ากัน ให้ลงโทษจำเลยเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มิได้ระบุให้ชัดลงไปว่าให้ลงโทษตามบทมาตราใด และที่พิพากษาเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 หนึ่งในสามของ 6 เดือน เป็น 9 เดือน เป็นการผิดพลาด เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาพิพากษาแก้(แม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ฎีกา)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับนายเหมือน สุวะมาตย์ ร่วมชุลมุนต่อสู้กัน จำเลยที่ ๑ ใช้ไม่ตะบองตีนายเหมือน ด้วยเจตนาฆ่า จำเลยที่ ๓ ใช้มีดปลายแหลมแทงทำร้ายร่างกายนายเหมือน จำเลยที่ ๒ ใช้เหล็กขูดชาฟท์ไล่แทงจำเลยที่ ๑ เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ ได้รับอันตรายแก่กาย และนายเหมือนถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๒ เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกขณะที่มีอายุกว่า ๑๗ ปี พ้นโทษไม่เกิน ๕ ปี มากระทำผิดอีก ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘,๒๙๔,๒๙๕,๙๒
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘,๒๙๔ ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายมาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๑๕ ปี ส่วนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๔,๒๙๕ ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุกคนละ ๖ เดือน เพิ่มโทษจำเลยที่ ๒ หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๒ ให้เป็นจำคุก ๙ เดือน จำเลยที่ ๒ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือโทษจำเลยที่ ๒ จำคุก ๔ เดือน ๑๕ วัน
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะจำเลยที่ ๑ เป็นว่า จำเลยที่ ๑มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ ให้จำคุก ๕ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติว่าจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ ๒ และนายเหมือนผู้ตายอีกฝ่ายหนึ่งชุลมุนต่อสู้กัน จำเลยที่ ๑ ใช้ไม้ตีผู้ตายถึงแก่ความตายจริง ได้ความตามโจทก์นำสืบว่า ก่อนที่จำเลยที่ ๑ จะใช้ไม้ตีผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๒ กับผู้ตายชกจำเลยที่ ๑ ก่อน แล้วจำเลยที่ ๒ ใช้เหล็กขูดชาฟท์ไล่แทงจำเลยที่ ๑จำเลยที่ ๓ ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตายถูกที่ฝ่ามือ จำเลยที่ ๑จึงคว้าไม้เหลี่ยมกว้าง ๓ นิ้วฟุต ยาวประมาณ ๑ แขนตีผู้ตาย ดังนี้ เห็นว่าการที่จำเลยที่ ๑ ใช้ไม้ตีผู้ตายไปในขณะที่ชุลมุนต่อสู้กัน โดยคว้าไม้ซึ่งวางอยู่ตรงนั้นเองตีผู้ตายไปโดยไม่ได้ใช้ไม้ตีผู้ตายไปในขณะที่ชุลมุนต่อสู้กัน โดยคว้าไม้ซึ่งวางอยู่ตรงนั้นเองตีผู้ตายไปโดยไม่ได้เลือกตี และตีเพียงทีเดียว พฤติการณ์แห่งคดีฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๑ กระทำไปโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ ๑คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๔,๒๙๕ โทษเท่ากัน ให้ลงโทษจำเลยเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น เห็นว่า แม้ ๒ มาตรานี้จะมีอัตราโทษเท่ากัน คำพิพากษาของศาลก็จะต้องระบุให้ชัดไปว่าให้ลงโทษตามบทมาตราใด และที่ศาลชั้นต้นพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยที่ ๒ หนึ่งในสามของ ๖ เดือน เป็น ๙ เดือนนั้น เป็นการผิดพลาด เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย
พิพากษาแก้ เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ที่ ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๔,๙๐ และเมื่อเพิ่มและลดโทษจำเลยที่ ๒ แล้ว คงจะคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๔ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share