คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2358/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฟ้องขอให้เพิกถอนการขายฝากที่ดินซึ่งอ้างว่าได้กระทำขึ้นโดยไม่สุจริตและฉ้อฉลทำให้โจทก์เสียเปรียบนั้น จะต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๑๒ โจทก์ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางโกศล ทรงบำเรอ และในฐานะส่วนตัวเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดชลบุรี ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๔๗/๒๕๑๓ เรื่องผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดินแปลงพิพาท ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์ ถ้าโอนไม่ได้ให้คืนเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย ขณะคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาขายฝากที่พิพาทไว้กับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดไถ่คืนในระยะเวลา ๑ ปี ๖ เดือน ต่อมาวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๑๗ ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่านางโกศลได้ตกลงจะขายที่พิพาทให้โจทก์จริง แต่จำเลยที่ ๑ ซึ่งได้รับโอนมรดกจากนางโกศลได้ขายฝากที่พิพาทให้จำเลยที่ ๒ แล้ว จึงบังคับให้โอนให้โจทก์ไม่ได้ ให้จำเลยคืนเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย ต่อมาจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ไถ่ที่พิพาทคืน หลุดเป็นสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ การซื้อขายที่พิพาทเป็นไปโดยไม่สุจริต เป็นการฉ้อฉลและยักย้ายทรัพย์เพื่อจะมิให้โจทก์ใช้สิทธิ์เรียกร้องได้รับการชำระหนี้เมื่อชนะคดี ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้จำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้โจทก์ ถ้าไม่สามารถโอนให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหาย ๘๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ ทำหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ ๒ ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๔๗/๒๕๑๓ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ๑ ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงเหตุที่ขอให้ศาลเพิกถอนการขายฝากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๔๐ ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๔๗/๒๕๑๓ โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางโกศล จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นข้อกฎหมายว่า (๑) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง (๒) เป็นฟ้องซ้ำ และ (๓) ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริง โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่าที่พิพาทเดิมเป็นของโจทก์ได้ขายฝากไว้กับนางโกศลและขาด (มิได้ไถ่คืน) นางโกศลให้โจทก์ซื้อคืนในราคา ๒๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้ผ่อนชำระให้นางโกศลครบ ๒๐,๐๐๐ บาท นางโกศลตาย จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการมรดกได้ขายฝากที่พิพาทให้จำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๑๒ กำหนดไถ่คืนภายใน ๑ ปี วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๑๒ โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ขอเรียกเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทคืน และต่อมาได้ถอนฟ้องปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๖๐/๒๕๑๒ ของศาลจังหวัดชลบุรี วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๑๒ โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้โจทก์ ถ้าไม่สามารถโอนได้ให้คืนเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๔๗/๒๕๑๓ วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๑๓ จำเลยที่ ๑ ไถ่ถอนการขายฝากจากจำเลยที่ ๒ และขายฝากต่อมีกำหนด ๑ ปี ๖ เดือนในวันเดียวกันนั้น วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๑๓ โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ ขอใช้สิทธิ์ของลูกหนี้ขอถอนการขายฝาก และต่อมาได้ถอนฟ้องปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๖๐/๒๕๑๓ คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๔๗/๒๕๑๒ ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทคืนให้โจทก์
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เกินกำหนด ๑ ปีนับแต่ทราบเรื่องการขายฝากโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้เพิกถอนการขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองโดยอ้างว่ากระทำโดยไม่สุจริตและฉ้อฉลทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์จะต้องฟ้องภายใน ๑ ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๔๐ ได้ความว่าได้มีการทำนิติกรรมขายฝากที่พิพาท ๒ ครั้ง ครั้งแรกวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๑๒ กำหนดไถ่คืน ๑ ปี ครั้งหลังวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๑๓ โดยจำเลยที่ ๑ ไถ่คืนแล้วขายฝากใหม่ในวันเดียวกันนั้น กำหนดไถ่คืน ๑ ปี ๖ เดือน การขายฝากครั้งหลังเป็นการเพิ่มเติมและขยายเวลาไถ่คืน เป็นการขายฝากรายเดียวกันนั่นเอง เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๑๓ โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ ขอใช้สิทธิ์ลูกหนี้ขอไถ่ถอนการขายฝากที่พิพาทตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๖๐/๒๕๑๓ ของศาลจังหวัดชลบุรี โดยอ้างถึงการขายฝากครั้งแรก จำเลยที่ ๒ ได้กล่าวไว้ในคำให้การว่าจำเลยที่ ๑ ได้ขอให้จำเลยที่ ๒ ขยายเวลาไถ่ถอนการขายฝากต่อไปอีก ๑๘ เดือน โจทก์ได้ยื่นคำแถลงในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ว่าได้ทราบหลักฐานการขยายเวลาขายฝากแล้ว ไม่ติดใจดำเนินคดีต่อไป ขอถอนฟ้อง ดังนี้เห็นได้ว่าถ้าการขายฝากรายนี้เป็นการฉ้อฉลโจทก์ โจทก์ก็รู้มาเกิน ๑ ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว
พิพากษายืน.

Share