แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 5 ปี 4 เดือน11 วัน ให้ไปเก็บดอกไม้ในสวนแล้วจะให้เงิน ผู้เสียหายหลงเชื่อเดินตามจำเลยไปในสวน จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหาย ดังนี้เป็นการกระทำที่ปราศจากเหตุอันสมควรพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบสามปีไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม อีกกระทงหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 317,91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2525 มาตรา 3, 9 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 317, 91พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2525 มาตรา 3, 9 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 ลงโทษจำคุก 18 ปี และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 ลงโทษจำคุก 10 ปี รวมโทษจำคุก 28 ปี จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก จำคุก 10 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีเด็กหญิงอาภรณ์หรือนก ช่อประดิษฐ์ ผู้เสียหาย กับเด็กหญิงอารีย์ ช่อประดิษฐ์น้องสาวผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า วันที่ 14 มกราคม 2530เวลาประมาณ 15 นาฬิกา ขณะที่ผู้เสียหายกับเด็กหญิงอารีย์กำลังเล่นกันอยู่ที่บริเวณบ้านพัก จำเลยมาพูดชวนไปเก็บดอกไม้ในสวนแล้วจะให้เงิน เมื่อผู้เสียหายกับเด็กหญิงอารีย์เดินตามจำเลยเข้าไปในสวนแล้ว จำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหายแล้วหลบหนีไป เห็นว่าขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน ผู้เสียหายกับเด็กหญิงอารีย์ได้เห็นจำเลยในระยะใกล้ชิดเป็นเวลานานพอสมควร มีโอกาสพินิจพิจารณาจำจำเลยได้ ไม่น่าจะจำตัวผิดพลาดหลังเกิดเหตุผู้เสียหายกับเด็กหญิงอารีย์ได้บอกนายดลกรและนางสมจิตร บิดามารดาทันทีว่าผู้เสียหายถูกชายที่มีหนวดและใส่แว่นตากระทำชำเรา และในวันรุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุผู้เสียหายกับเด็กหญิงอารีย์ได้พบจำเลยก็ได้ชี้บอกบิดามารดาว่า จำเลยเป็นคนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งจำเลยไว้หนวดตรงตามที่ผู้เสียหายกับเด็กหญิงอารีย์ได้ระบุไว้ มารดาผู้เสียหายไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนและนำพลตำรวจอภิชาติไปจับจำเลยได้ ผู้เสียหายกับเด็กหญิงอารีย์ได้ชี้ตัวจำเลยยืนยันว่าเป็นผู้กระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ถ่ายภาพการชี้ตัวไว้ นอกจากนี้ผู้เสียหายกับเด็กหญิงอารีย์ยังได้นำชี้ที่เกิดเหตุแสดงท่าขณะเกิดเหตุให้พนักงานสอบสวนถ่ายภาพและทำแผนที่เกิดเหตุไว้ เห็นได้ว่าผู้เสียหายกับเด็กหญิงอารีย์จดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้จริง ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุเพียง5 ปี 4 เดือน 11 วัน และเด็กหญิงอารีย์มีอายุเพียง 4 ปี 4 เดือน2 วัน คำเบิกความตรงไปตรงมาตามประสาเด็กที่ไร้เดียงสา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีการเสี้ยมสอนหรือบิดเบือนข้อเท็จจริงแต่ประการใดแม้คำเบิกความจะมีข้อแตกต่างกันไปบ้าง ก็ไม่ใช่สาระสำคัญถึงกับเป็นพิรุธให้เห็นว่าผู้เสียหายกับเด็กหญิงอารีย์จำจำเลยไม่ได้ทั้งนายแพทย์วรวิทย์ โกวิทวรางกูรแพทย์ประจำโรงพยาบาลวชิรพยาบาลผู้ตรวจร่างกายของผู้เสียหายในวันเกิดเหตุนั้นเองได้เบิกความประกอบรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลข่มขืนกระทำชำเราว่า พบของเหลวข้นลักษณะคล้ายน้ำอสุจิอยู่บริเวณปากช่องคลอด และบริเวณด้านหลังของปากช่องคลอดมีรอยฉีกขาด มีเลือดซึม เยื่อพรหมจารีฉีกขาดใหม่และมีความเห็นว่า ผู้เสียหายถูกกระทำชำเรามาสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายกับเด็กหญิงอารีย์ให้มีน้ำหนักเชื่อถือได้มั่นคงโดยปราศจากข้อสงสัยว่า ผู้เสียหายถูกกระทำชำเราจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำชำเรา ส่วนที่จำเลยนำสืบว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา ตั้งแต่เวลา 8.17 นาฬิกาถึงเวลา 16.30นาฬิกา นั้น ก็ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยเองว่า ระหว่างเวลาราชการจำเลยสามารถออกจากโรงพยาบาลไปข้างนอกได้ ทั้งระยะทางระหว่างบ้านจำเลยกับโรงพยาบาลศรีธัญญาห่างกันไม่ไกล เดินทางโดยรถยนต์ใช้เวลาเพียง 20 นาที ที่เกิดเหตุห่างบ้านจำเลยประมาณ100 เมตร ซึ่งจำเลยสามารถกลับไปบ้านหรือไปที่เกิดเหตุได้โดยสะดวกพยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักพอที่จะให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำชำเราผู้เสียหายชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น และการที่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายให้ไปเก็บดอกไม้ในสวนแล้วจะให้เงินเมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อเดินตามจำเลยเข้าไปในสวนแล้ว จำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหาย จึงเป็นการกระทำที่ปราศจากเหตุอันสมควรพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบสามปีไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจาร จำเลยจึงต้องมีความผิดตามข้อหาฐานนี้ตามที่โจทก์ฟ้องอีกกระทงหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานนี้มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบสามปีไปเสียจากมารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรและเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม 91 อีกกระทงหนึ่งให้จำคุกอีก 6 ปี รวมโทษจำคุก 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรกแล้ว เป็นโจทก์จำคุก รวม 16 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์