คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1063/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่า 50,000 บาท และกำหนดจำนวนได้แน่นอน แม้จำเลยและสามีจะเป็นข้าราชการมีเงินเดือนรวมกันเดือนละ8,590 บาท แต่เงินเดือนข้าราชการไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286(2)โจทก์ไม่สามารถบังคับในคดีแพ่งให้จำเลยชำระหนี้ด้วยเงินเดือนได้จำเลยอ้างว่ามีเงินเหลือเดือนละ 4,000 บาท แต่จำเลยก็ไม่ชำระซึ่งแสดงว่าจำเลยไม่มีความสุจริตในการชำระหนี้ และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินอื่นใดอีก ถือได้ว่าจำเลยเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ดังนั้นแม้จำเลยจะเป็นข้าราชการแต่ไม่ชำระหนี้อีกทั้งไม่แสดงว่าพยายามจะชำระหนี้หรือขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์โดยสุจริต จึงสมควรให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย จำเลยเพิ่งมาอ้างในชั้นอุทธรณ์ว่าจำเลยมีเงินฝากในธนาคารจำนวน60,000 บาท ซึ่งเป็นการอ้างภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว จึงล่วงพ้นเวลาที่จำเลยจะพิสูจน์ว่าสามารถชำระหนี้ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตั้งวงแชร์ 9 วง จำเลยร่วมเล่นแชร์ทุกวงรวม 10 มือ จำเลยประมูลแชร์ไปแล้ว 5 วง 6 มือ แต่ไม่ชำระ โจทก์ในฐานะนายวงจึงฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นตามคดีหมายเลขแดงที่165/2529 ซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 22,830.55 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 21,491 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาทคดีถึงที่สุดแล้ว ส่วนแชร์อีก 4 วงนั้น จำเลยก็ประมูลได้และได้รับเงินค่าแชร์ไปครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระเงินค่าแชร์โจทก์ในฐานะนายวงจึงต้องชำระเงินให้แก่ลูกวงคนอื่น ๆ แทนจำเลยจำเลยค้างชำระค่าแชร์รวมเป็นเงิน 57,023 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้อง 8,772.90 บาท จำเลยจึงเป็นหนี้โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น90,725 บาท โจทก์ทวงถามหลายครั้งแต่จำเลยไม่ชำระ จำเลยไม่มีทรัพย์สินใดที่จะบังคับคดีได้ จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า หนี้ตามฟ้องโจทก์เป็นหนี้ที่ไม่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอนรวมอยู่ด้วย คือ หนี้ตามคำพิพากษานั้นจำเลยนำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้โจทก์หลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว ส่วนหนี้ค่าแชร์ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นหนี้อีก 65,795.90 บาทนั้น จำเลยมิได้เป็นหนี้และค้างชำระแก่โจทก์แต่อย่างใด จำเลยและสามีรับราชการเป็นครูได้รับเงินเดือนเดือนละ 4,425 บาท และ 4,165 บาท ตามลำดับจำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียงรายเดียวและสามารถขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ จำเลยไม่ใช่ผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย สำหรับค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามจำนวนที่เห็นสมควร
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า…ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่า 50,000 บาท และกำหนดจำนวนได้แน่นอน
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวและสมควรให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ โจทก์นำสืบว่า หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องนี้มีสองจำนวน จำนวนหนึ่งเป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 165/2529 แล้วจำเลยไม่ชำระจนกระทั่ง โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงนำไปชำระ กับหนี้ค่าแชร์อีก 4 วง โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยบอกว่าไม่มีเงินและค้างชำระอยู่จนโจทก์ต้องร้องเรียนไปยังผู้อำนวยการประถมศึกษาจังหวัดระนอง ซึ่งต่อมามีการสอบสวนเรื่องนี้และจำเลยก็ยอมรับว่าร่วมเล่นแชร์และเป็นหนี้โจทก์อยู่ ยังมิได้ชำระหนี้ ส่วนจำเลยนำสืบว่า จำเลยกับสามีเป็นข้าราชการครู มีเงินเดือนรวมกันเดือนละ 8,590 บาท มีเงินเหลือเดือนละ 4,000 บาทมีรถจักรยานยนต์ 2 คัน ราคา 10,000 บาท เตาอบราคา 10,000 บาทจำเลยเป็นสมาชิกสหกรณ์ครูสามารถกู้เงินได้ 10 เท่าของเงินเดือนเห็นว่าแม้จำเลยและสามีจะมีเงินเดือน แต่ก็เป็นเงินเดือนข้าราชการซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286(2) โจทก์ย่อมไม่สามารถบังคับในคดีแพ่งให้จำเลยชำระหนี้ด้วยเงินเดือนได้ แม้จำเลยจะอ้างว่ามีเงินเหลือเดือนละ 4,000 บาท แต่จำเลยก็ไม่ชำระซึ่งแสดงว่าจำเลยไม่มีความสุจริตในการชำระหนี้ ส่วนทรัพย์สินอื่นนั้นจำเลยนำสืบเพียงลอย ๆ ฟังไม่ได้ว่าจะมีทรัพย์สินดังที่อ้างรวมทั้งสิทธิกู้เงินสหกรณ์ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่า จำเลยมีสิทธิเช่นนั้นหรือขวนขวายกู้มาใช้หนี้โจทก์ คดีคงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบเพียงเรื่องเงินเดือนเท่านั้น จำเลยจึงมีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้สินและไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินอื่นใดอีก ถือได้ว่าจำเลยเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ฉะนั้น แม้จำเลยจะเป็นข้าราชการแต่เล่นแชร์แล้วไม่ชำระหนี้ค่าแชร์ ทั้งไม่แสดงว่าพยายามจะชำระหนี้หรือขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์โดยสุจริตจึงสมควรให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ข้อที่จำเลยอุทธรณ์และฎีกาต่อมาว่าจำเลยมีเงินฝากในธนาคารจำนวน 60,000 บาทนั้น เห็นว่าจำเลยเพิ่งมาอ้างในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว เงินจำนวนนี้จำเลยได้มาอย่างไรไม่ปรากฏและจำเลยควรที่จะส่งมอบเงินดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพราะเป็นเงินที่ถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลายอันอาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22,109 (2) แต่จำเลยก็มิได้ปฏิบัติเช่นนั้น คงนำมาอ้างเพียงเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยสามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งเป็นการอ้างภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงล่วงพ้นเวลาที่จำเลยจะพิสูจน์ว่าสามารถชำระหนี้ได้ พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ สมควรพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายต่อไปที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน โจทก์มิได้แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.

Share