คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10624/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยคนถัดไปต่อจากผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยคนแรก เป็นผู้จ่ายค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปเพราะไม่รู้ว่าวินาศภัยอันเดียวกันนี้มีผู้คัดค้านเป็นผู้รับประกันภัยไว้ก่อนตน กรณีจึงเป็นการจ่ายค่าสินไหมทดแทนไป ทั้งๆ ที่ผู้ร้องไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 870 วรรคสามบัญญัติไว้ ถือได้ว่าการจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้องนั้น เป็นการสมประโยชน์ของผู้คัดค้านซึ่งเป็นตัวการและต้องตามความประสงค์อันแท้จริงของตัวการ หรือความประสงค์ตามที่พึงสันนิษฐานได้ กรณีตามคำร้องจึงเข้าเกณฑ์เป็นเรื่องจัดการงานนอกสั่งซึ่งก่อให้เกิดหนี้ที่ผูกพันผู้คัดค้านให้ต้องรับผิดชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนที่ผู้ร้องได้ออกทดรองจัดการงานให้ผู้คัดค้านไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 401
การที่อนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยคนแรกได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไป ยังไม่คุ้มกับจำนวนวินาศภัย ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยคนถัดไปไม่รอเพื่อจ่ายในส่วนที่ยังขาดอยู่ถ้าหากมีแต่ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายทั้งสิ้นไปทีเดียว จึงต้องถือว่าผู้ร้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยไม่มีหน้าที่ เมื่อไม่มีกฎหมายใดบัญญัติถึงกรณีนี้ในอันจะให้ผู้ร้องเรียกร้องให้ผู้คัดค้านคืนเงินตามที่ได้จ่ายไปนั้นได้ การที่ผู้ร้องจ่ายไปนั้นจึงตกเป็นพับแก่ผู้ร้อง และมีคำชี้ขาดให้ยกคำเสนอข้อพิพาทของผู้ร้องมานั้น คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและเข้าเกณฑ์เป็นกรณีที่การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้นจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนซึ่งศาลชอบที่จะเพิกถอนคำชี้ขาดนั้นเสียได้ตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2522 มาตรา 40 วรรคสาม (2)(ข)

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ หรือมีคำสั่งให้อนุญาโตตุลาการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ไม่จำต้องไต่สวนข้อเท็จจริงตามคำร้อง มีคำสั่งให้งดไต่สวน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือสั่งให้ศาลชั้นต้น ไต่สวนคำร้องของผู้ร้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อแรกตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า มีเหตุที่ศาลจะเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 870 บัญญัติวางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกรณีความรับผิดของผู้รับประกันภัยหลายรายเพื่อความวินาศภัยอันเดียวกันและจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยรวมกันท่วมจำนวนที่วินาศจริงไว้ว่า ผู้รับประโยชน์มีสิทธิได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพียงเสมอจำนวนวินาศจริงเท่านั้น และในกรณีสัญญาประกันภัยหลายรายเช่นว่านี้ ถ้าทำพร้อมกัน (สัญญาประกันภัยลงวันเดียวกัน) มาตรา 870 วรรคหนึ่ง ก็บัญญัติให้ผู้รับประกันภัยแต่ละคนต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนวินาศจริงแบ่งเฉลี่ยตามส่วนมากน้อยที่ตนได้รับประกันภัยไว้ แต่ถ้าสัญญาประกันภัยหลายรายนั้นทำสืบเนื่องเป็นลำดับกัน มาตรา 870 วรรคสาม บัญญัติให้ผู้รับประกันภัยคนแรกรับผิดเพื่อความวินาศภัยก่อน ผู้รับประกันภัยคนถัดไปจะต้องรับผิดเฉพาะส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นต่อๆ กันไปจนกว่าจะคุ้มวินาศ ยิ่งกว่านั้น ความในมาตรา 871 ยังบัญญัติรองรับหลักการมาตรา 870 ดังกล่าวอีกว่า การที่ผู้รับประโยชน์ยอมสละสิทธิอันมีต่อผู้รับประกันภัยรายหนึ่งนั้น ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิและหน้าที่ของผู้รับประกันภัยรายอื่น ๆ บทบัญญัติดังกล่าวมีนัยสำคัญที่แสดงให้เห็นว่ากฎหมายมีเจตนารมณ์ว่า กรณีมีการทำสัญญาประกันภัยหลายรายเพื่อความวินาศภัยอันเดียวกันนั้น ความรับผิดของผู้รับประกันภัยแต่ละรายจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และลำดับความรับผิดที่กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา 870 วรรคหนึ่งและวรรคสาม ดังกล่าวข้างต้นอย่างเคร่งครัด ผู้รับประโยชน์จะสละสิทธิอันมีต่อผู้รับประกันภัยรายหนึ่งเพื่อให้มีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิและหน้าที่ของผู้รับประกันภัยรายอื่น ๆ ให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริงตามคำร้องและคำคัดค้านที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันฟังได้เป็นยุติว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์หมายเลขทะเบียน กค 9669 กรุงเทพมหานคร ไว้ก่อน ผู้ร้องอันเข้าเกณฑ์เป็นกรณีที่ทำสัญญาประกันภัยหลายรายสืบเนื่องเป็นลำดับกันตามมาตรา 870 วรรคสาม ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยคนแรกจะต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยก่อน แต่คดีนี้เมื่อเกิดวินาศภัยขึ้นตามสัญญา ผู้ร้องกลับเป็นผู้จ่ายค่าสินไหมทดแทนทั้งสิ้นจำนวน 142,214.77 บาท ให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปเพราะไม่รู้ว่าวินาศภัยอันเดียวกันนี้มีผู้คัดค้านเป็นผู้รับประกันภัยไว้ก่อนตน กรณีจึงเป็นการจ่ายค่าสินไหมทดแทนไปทั้งๆ ที่ผู้ร้องไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายตามที่มาตรา 870 วรรคสาม บัญญัติไว้ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น แต่เมื่อได้จ่ายไปแล้ว แม้เป็นการจ่ายโดยที่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยคนแรกและเป็นผู้มีหน้าที่ต้องจ่ายไม่ได้มอบหมายให้ผู้ร้องจัดการแทนตนก็ตาม ก็ย่อมมีผลทำให้หนี้ตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนที่ผู้คัดค้านจะต้องรับผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้นเป็นอันระงับไป และทำให้ผู้คัดค้านหลุดพ้นจากความรับผิดต่อผู้เอาประกันภัย จึงถือได้ว่าการจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้องนั้น เป็นการสมประโยชน์ของผู้คัดค้านซึ่งเป็นตัวการและต้องตามความประสงค์อันแท้จริงของตัวการ หรือความประสงค์ตามที่พึงสันนิษฐานได้ กรณีตามคำร้องจึงเข้าเกณฑ์เป็นเรื่องจัดการงานนอกสั่งซึ่งก่อให้เกิดหนี้ที่ผูกพันผู้คัดค้านให้ต้องรับผิดชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนที่ผู้ร้องได้ออกทดรองจัดการงานให้ผู้คัดค้านไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 401 ดังนั้น การที่อนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย คนแรกได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปยังไม่คุ้มกับจำนวนวินาศภัย ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยคนถัดไปไม่รอเพื่อจ่ายในส่วนที่ยังขาดอยู่ถ้าหากมีแต่ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายทั้งสิ้นไปทีเดียวจึงต้องถือว่า ผู้ร้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยไม่มีหน้าที่ เมื่อไม่มีกฎหมายใดบัญญัติถึงกรณีนี้ในอันที่จะให้ผู้ร้องเรียกร้องให้ผู้คัดค้านคืนเงินตามที่ได้จ่ายไปนั้นได้ การที่ผู้ร้องจ่ายไปนั้นจึงตกเป็นพับแก่ผู้ร้อง และมีคำชี้ขาดให้ยกคำเสนอ ข้อพิพาทของผู้ร้องมานั้นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและเข้าเกณฑ์เป็นกรณีที่การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้นจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งศาลชอบที่จะเพิกถอนคำชี้ขาดนั้นเสียได้ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ สำนักงานอนุญาโตตุลาการ สมาคมประกันวินาศภัย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

Share