คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1061/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ยื่นคำร้องขอจับจองที่ดินในระหว่างระยะเวลาที่พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 บังคับไว้ เมื่อมีพระราชบัญญัติให้ใช้ ประมวลกฎหมายที่ดินประกาศใช้ ผู้นั้นก็มิได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้คำรับรองว่าที่ดินได้ทำประโยชน์แล้วในกำหนด 180 วันนับแต่ประมวลกฎหมายที่ดิน ใช้บังคับตามมาตรา 7 วรรค 2 ถือว่า ที่ดินนั้นปลอดจากการจับจอง ผู้นั้นเข้าครอบครองที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงาน เจ้าหน้าที่โดยชอบ ซึ่งตามพระราชบัญญัติออกโฉนด ที่ ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 มาตรา 15 ก็ดี ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 32 ก็ดี ย่อมให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาออกคำสั่งบังคับให้ผู้ครอบครองที่ดินนั้น ออกไปจากที่ดินได้อยู่
นายอำเภอได้ออกคำสั่ง โดยอาศัยอำนาจ ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่มาตรา 122 และพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแผ่นดิน พ.ศ. 2495 มาตรา 40 ให้ผู้ที่เข้าครอบครองที่ สาธารณะสมบัติของแผ่นดินออกไปจากที่ดินได้

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ – ๓ ได้ทำการขัดขวาง รอนสิทธิของโจทก์ โดยมีคำสั่ง เป็นหนังสือห้ามและขับไล่โจทก์ไม่ให้เกี่ยวข้องในที่ดินตามแผนสังเขปท้ายฟ้องหมายเลข ๒ สีแดง อันเป็นที่ดินของโจทก์ซึ่งได้รับอนุญาตให้จับของตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๙ และได้รับในเหยียบย่ำโดยชอบ ได้ครอบครอง เป็นเจ้าของโดยความสงบและเปิดเผย ตลอดมาร่วม ๑๐ ปี แล้ว อนึ่งในระหว่าง เดือนมีนาคม และ เมษายน ๒๕๐๒ จำเลยที่ ๓ บังคับทำการรังวัดปักหลักเขต ในที่นารายนี้โดยอ้างว่า เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน จำเลยที่ ๑ ได้สงวนได้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน และได้ประกาศสงวนหวงห้ามไว้ให้เป็นทำเลเลี้ยงสัตว์พาหนะ ชื่อว่าทำเลยเลี้ยงสัตว์ ป่ากระทม ความจริงหาใช่ทำเลยเลี้ยงสัตว์พาหนะไม่ ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่า ที่พิพาท เป็นของโจทก์ กับขอให้ห้ามและขับไล่จำเลยและบริวารมิให้เกี่ยวข้อง กับบังคับให้จำเลยถอนหลักซึ่งจำเลย ที่ ๓ ปักไว้ กับขอให้คำสั่งของจำเลยที่ ๒ เป็นโมฆะ
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน แม้ว่าโจทก์ เคยขอจับจองและเจ้าพนักงานอนุญาตไป ก็เป็นการเข้าใจผิด เพราะเป็นที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งไม่กฎหมายเฉพาะ หรือพระราชกฤษฎีกา โอน ที่ดินนี้ให้แก่โจทก์ได้ หากโจทก์เคยขอใบเหยียบย่ำมาครั้งหนึ่ง โจทก์ก็มิได้ทำประโยชน์ ภายใน ๒ ปี ใบเหยียบย่ำจึงขาดอายุ อีกประการหนึ่ง โจทก์ไม่เคยขอคำรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินรายนี้ต่ออำเภอภายใน ๑๘๐ วัน ตาม พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานคู่ความและพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้น ดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้อง คำให้การและรายงานพิจารณาที่โจทก์แถลงต่อศาลว่า โจทก์มิได้เคยยื่นเรื่องราวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อขอรับคำรับรอง ว่าได้ทำประโยชน์ในที่พิพาทภายในกำหนด ๑๘๐ วัน ตามประมวลกฎหมายที่ดินบังคับไว้ คดีของโจทก์ก็ต้องบังคับตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๗ วรรค ๒ ถือว่าที่ดินนั้นปลอดจากการจับจอง พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๔๗๙ มาตรา ๑๕ ก็ดี ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๓๒ ก็ดี ย่อมให้อำนาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาออกคำสั่งบังคับให้ผู้ครอบครองที่ดินนั้น ๆ ออกไปจากที่ดิน ได้อยู่ จำเลยที่ ๒ ได้มีคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากที่ที่พิพาทหนี้ตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ และมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๕ คำสั่งของจำเลยที่ ๒ จึงเป็นการชอบกฎหมาย
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share