คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีมโนสาเร่ซึ่งคู่ความอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะปัญหาข้อก.ม.นั้น ศาลอุทธรณ์ต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ฉนั้นถ้าศาลอุทธรณ์กลับไปถือเอาข้อเท็จจริงอื่นที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยไว้โดยศาลอุทธรณ์มิได้ยกเหตุว่าการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นผิดต่อก.ม.อย่างใดแล้ว และเมื่อปรากฎว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนไม่เป็นการผิดต่อ ก.ม.ศาลฎีกาก็จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาในการวินิจฉัยปัญหาข้อ ก.ม.ที่มาสู่ศาลฎีกา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าซึ่งจำเลยเช่าจากโจทก์โดยอ้างว่าเช่าเพื่อการค้าจนครบกำหนดได้บอกเลิกสัญญาแล้ว
จำเลยต่อสู้ว่า ห้องเช่าเป็นเคหะย่อมได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าห้องพิพาทไม่ใช่เคหะ จึงพิพากษาขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะปัญหาข้อ ก.ม.
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าห้องพิพาทเป็นเคหะ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีเป็นคดีมโนสาเร่ ซึ่งคู่ความ จ.อุทธรณ์ได้แต่เฉพาะข้อ ก.ม.ตามความใน ม.๒๒๔ ป.วิ.แพ่ง และการวินิจฉัยปัญหาเช่นนี้ ศาลอุทธรณ์จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามความใน ม.๒๓๘ วรรค ๑ แห่ง ป.วิ.แพ่ง แต่ศาลอุทธรณ์ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยรับฟังไว้ และศาลอุทธรณ์ก็มิได้ยกเหตุว่าการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นนั้นผิดต่อก.ม.ไม่ยอมรับฟังแต่อย่างใด ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนแล้วเห็นว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน ไม่เป็นการผิดต่อ ก.ม. เมื่อเช่นนี้ในการวินิจฉัยปัญหาข้อ ก.ม.ที่มาสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาจึงจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้วดังกล่าวข้างต้น
ส่วนข้อเท็จจริงศาลฎีกาเห็นฟ้องกับศาลชั้นต้นว่าห้องพิพาทเป็นห้องสำหรับกิจการค้า ไม่เป็นเคหะ จึงพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้ขับไล่จำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share