แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทรัพย์สินซึ่งเช่านั้น ผู้เช่าจะให้เช่าช่วงไม่ได้ เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาเช่า
โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของห้องพิพาท จำเลยเป็นบริวารของผู้อื่นซึ่งไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ร่วม จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆ กับโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
การที่โจทก์เช่าห้องรายพิพาทจากผู้ให้เช่าแล้วเข้าครอบครองทรัพย์ที่เช่าไม่ได้โดยมีผู้ขัดขวาง โจทก์หามีสิทธิจะฟ้องขับไล่โดยลำพังตนเองไม่ แต่ชอบที่จะขอให้ศาลเรียกผู้ให้เช่าเข้ามาร่วมเป็นโจทก์ด้วยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 477 และ 549 และเมื่อโจทก์ได้ฟ้องคดีนี้โดยได้ขอให้เจ้าของผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วยแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ (อ้างฎีกาที่ 676 ถึง 689/2498)
ประเด็นที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวแต่ในศาลชั้นต้นจะยกขึ้นมาในชั้นฎีกาไม่ได้
ในชั้นแรก โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมโดยไม่ได้อ้างเหตุความจำเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) ขึ้นมาศาลชั้นต้นจึงสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องอ้างเหตุว่าโจทก์ได้ทำสัญญาเช่าห้องรายพิพาทมาจากผู้ให้เช่า แต่โจทก์เข้าครอบครองห้องพิพาทไม่ได้เพราะจำเลยไม่ยอมออกไป ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย หากศาลไม่เรียกเจ้าของห้องเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วย หากโจทก์แพ้คดีโจทก์จะไม่สามารถเรียกร้องเอาค่าทดแทนหรือค่าเสียหายจากใครได้ ดังนี้ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งใหม่และสั่งอนุญาตให้หมายเรียกเจ้าของผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับโอนสิทธิการเช่าจากนายทองคำบิดาและได้ทำสัญญาเช่าโดยตรงจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จำเลยเป็นหุ้นส่วนตั้งร้านดัดผมร่วมกับบิดาโจทก์ และได้เลิกหุ้นส่วนกันแล้ว แต่ไม่ยอมออกไปจากที่เช่า จำเลยก็ไม่ยอมออก ขอให้ศาลบังคับและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้เรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง เพราะโจทก์มิได้อ้างเหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3)
จำเลยสู้ว่า บิดาโจทก์ให้จำเลยเช่าช่วงห้องพิพาทแล้วโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ จำเลยจะชำระค่าเช่าให้โจทก์ โจทก์ก็ไม่ยอมรับจำเลยไม่ได้เข้าหุ้นส่วนกับบิดาโจทก์ ค่าเสียหายไม่ถึงที่โจทก์เรียกโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่
โจทก์ยื่นคำร้องใหม่ขอให้เรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมโดยอ้างว่าโจทก์เช่าห้องจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แล้วเข้าครอบครองห้องไม่ได้หากไม่เรียกเข้ามา เมื่อโจทก์แพ้คดี โจทก์จะเรียกร้องเอาค่าทดแทนหรือค่าเสียหายจากใครไม่ได้ ศาลอนุญาตและหมายเรียกตามโจทก์ร้องขอ
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ยอมรับเข้าเป็นโจทก์ร่วมและขอเพิ่มเติมฟ้องว่าโจทก์ร่วมเป็นนิติบุคคล ได้ให้โจทก์เช่าห้องพิพาท สัญญาเช่ายังผูกพันกันอยู่ จำเลยไม่มีข้อผูกพันใด ๆ กับโจทก์ขอให้ขับไล่
จำเลยให้การแก้ฟ้องโจทก์ร่วมว่า ผู้แทนโจทก์ร่วมได้รู้เห็นและทราบพฤติการณ์ระหว่างจำเลยกับบิดาโจทก์และได้รับชำระค่าเช่าจากจำเลยตลอดมา โจทก์ร่วมหรือผู้แทนไม่มีสิทธิเอาห้องพิพาทให้โจทก์เช่า ขอให้ยกฟ้องโจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาว่า จำเลยไม่ใช่คู่สัญญาและไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ร่วม แม้โจทก์จะยังไม่ได้ครอบครองห้องเช่าเพราะจำเลยเข้าอยู่ก็ตาม แต่โจทก์ร่วมได้เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมแล้วโจทก์และโจทก์ร่วมจึงฟ้องขับไล่จำเลยได้ จำเลยอยู่โดยละเมิด จึงต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทรัพย์สินซึ่งเช่านั้น ผู้เช่าจะให้เช่าช่วงไม่ได้ เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาเช่า ในคดีนี้ไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมได้ยินยอม จำเลยจึงเป็นบริวารของนายทองคำและไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของห้องพิพาทจึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์และผู้แทนโจทก์ร่วมทำสัญญาเช่าห้องรายพิพาทโดยไม่สุจริตและไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายโจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ และเป็นโจทก์ร่วมได้นั้นเห็นว่า การที่โจทก์เช่าห้องรายพิพาทจากโจทก์ร่วมแล้วเข้าครอบครองทรัพย์ที่เช่าไม่ได้ โดยมีผู้ขัดขวางโจทก์หามีสิทธิจะฟ้องขับไล่โดยลำพังตนเองไม่ แต่ชอบที่จะขอให้ศาลเรียกผู้ให้เช่าเข้ามาร่วมเป็นโจทก์ด้วยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 477 และ 549 และเมื่อโจทก์ได้ฟ้องคดีนี้โดยได้ขอให้เจ้าของผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วยแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีอำนาจฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยได้ ดังฎีกาที่ 676 ถึง 689/2498 ส่วนที่จำเลยอ้างว่าการเช่าห้องพิพาทเป็นไปโดยไม่สุจริตและไม่สมบูรณ์นั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวแต่ในศาลชั้นต้น จะยกขึ้นมาในชั้นฎีกาไม่ได้ ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาต และยกคำร้องโจทก์ไปครั้งหนึ่งแล้ว คำสั่งนั้นย่อมเป็นที่สุด โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องได้ใหม่ คำสั่งของศาลชั้นต้นครั้งหลังที่สั่งอนุญาตให้เรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าในชั้นแรกโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกโจทก์ร่วมมาเป็นโจทก์ร่วมโดยไม่ได้อ้างเหตุความจำเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) ขึ้นมา ศาลชั้นต้นจึงสั่งยกคำร้องของโจทก์ ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องอ้างเหตุว่าโจทก์ได้ทำสัญญาเช่าห้องรายพิพาทมาจากโจทก์ร่วม แต่โจทก์เข้าครอบครองห้องรายพิพาทไม่ได้เพราะจำเลยไม่ยอมออกไป ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย หากศาลไม่เรียกเจ้าของห้องเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วย หากโจทก์แพ้คดีโจทก์จะไม่สามารถเรียกร้องเอาค่าทดแทนหรือค่าเสียหายจากใครได้ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งใหม่และสั่งอนุญาตให้หมายเรียกโจทก์ร่วมมาเป็นโจทก์ร่วมได้
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย