แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การรับว่า ได้ทำสัญญายืมเงิน โจทก์จริง แต่โจทก์ได้ยอมรับชำระหนี้ ด้วยข้าวเปลือก แทนเงินตามสัญญายืม ดังนี้ หนี้เป็นอันระงับสิ้นไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 จำเลยย่อมสืบได้ ไม่ต้องห้ามตาม มาตรา 653 วรรค 2 (อ้างฎีกาที่ 905/2497)
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ย รวม ๒,๖๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า ได้ทำเอกสารยืมเงินตามฟ้องจริง แต่โจทก์ได้หักหนี้ จากค่าเช่านาตามข้อตกลงจากจำเลย หนี้ตามหนังสือสัญญายืนเป็นอันระงับตามมาตรา ๓๒๑ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษาให้โจทก์ ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาสืบพยาน โจทก์จำเลย แล้วพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยรับได้ทำสัญญายืนเงินจริง แต่ต่อสู้ว่า จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว โดยโจทก์เช่านาจำเลย จำเลยได้เก็บค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกจากโจทก์ ๑,๐๐๐ ถัง ฝ่ายโจทก์หักค่าเช่านาเป็นข้าวเปลือก ๒๕๐ ถัง ขณะนั้น ข้าวเปลือกราคาเกวียนละ ๘๐๐ บาท เป็นการชำระหนี้ ตามสัญญายืมแล้ว เท่ากับโจทก์ยอมรับชำระหนี้ด้วยข้าวเปลือก ๒๕๐ ถัง แทนการชำระเงิน ๒,๐๐๐ บาท ตามสัญญายืมแล้ว หนี้เป็นอันระงับสิ้นไปตามมาตรา ๓๒๑ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนี้ จำเลยย่อมนำสืบได้ ไม่ต้องห้าม มาตรา ๖๕๒ วรรค ๒
พิพากษายืน