แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากเจ้าของรถ มีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2541 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2542 เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2540จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทเฉี่ยวชนกับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัย แต่การแปลคำฟ้องมิได้พิจารณาเฉพาะข้อความที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องเท่านั้น ต้องพิจารณาเอกสารท้ายฟ้องซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องประกอบด้วย เมื่อเอกสารที่แนบมาท้ายฟ้องอันได้แก่แผนที่เกิดเหตุ รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีและหนังสือทวงถามให้ชดใช้ค่าเสียหายต่างระบุตรงกันว่าเหตุละเมิดเกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2542 จึงเห็นได้ชัดว่าโจทก์พิมพ์ปีที่เกิดเหตุละเมิดผิดพลาด ซึ่งเป็นความผิดพลาดเล็กน้อยอันเป็นรายละเอียดแห่งคำฟ้อง ถือได้ว่าโจทก์ได้อ้างในคำฟ้องแล้วว่าเหตุละเมิดเกิดในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย ส่วนเอกสารท้ายฟ้องจะรับฟังได้หรือไม่เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในชั้นพิจารณา ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดในมูลละเมิดได้ แม้โจทก์จะมิได้แก้ไขคำฟ้องในส่วนที่พิมพ์ผิดพลาดดังกล่าวและจำเลยทั้งสองจะให้การต่อสู้ในเรื่องนี้หรือไม่ ก็ไม่มีผลกระทบต่ออำนาจฟ้องของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 9 ษ – 2128 กรุงเทพมหานคร ไว้จากบริษัทนานาบริการ จำกัด เพื่อวินาศภัยทุกชนิด มีกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ 1 กันยายน 2541 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2542 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก – 7632 สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 17 มกราคม2540 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้างหรือตามที่ได้รับมอบหมายหรือยินยอมของจำเลยที่ 2 เฉี่ยวชนกับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยซึ่งมีนายอุดม รัมมณีย์เป็นผู้ขับจากสามแยกวิทยาลัยสารพัดช่างมุ่งหน้าไปทางถนนเลี่ยงเมืองผ่านสี่แยกอาชาโดยจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์จากสถานีรถไฟสุพรรณบุรีมุ่งหน้าเข้าถนนม้าสีหมอกตัดเข้าสี่แยกอาชาด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง กล่าวคือบริเวณจุดเกิดเหตุเป็นทางร่วมทางแยก รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยได้แล่นอยู่บนถนนที่เป็นทางเอกย่อมมีสิทธิที่จะใช้ช่องเดินรถก่อนจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมหยุดรถกลับขับพุ่งเข้าไปในทางร่วมทางแยกเพื่อชิงความได้เปรียบในเส้นทางเดินรถ เป็นเหตุให้ชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยเสียหาย ขณะเกิดเหตุยังอยู่ในความคุ้มครองตามสัญญาประกันภัย โจทก์จึงได้จัดการซ่อมรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยรวมเป็นเงิน 259,318.07 บาท จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ชำระเงินถึงวันฟ้องเป็นเงิน 18,152.26 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน277,470.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 259,318 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก – 7632 สุพรรณบุรีโดยซื้อจากจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2540 แต่ยังไม่ได้โอนทางทะเบียน นายอุดมรัมมณีย์ ผู้ขับรถหมายเลขทะเบียน 9 ษ – 2128 กรุงเทพมหานคร เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อแต่ผู้เดียว จำเลยที่ 1 มิได้ประมาท โจทก์เสียหายไม่เกิน 60,000 บาท โจทก์ฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่วันที่อ้างว่า จำเลยที่ 1 ทำละเมิดจึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินเป็นเงิน6,737.50 บาท แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องความว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 9 ษ – 2128 กรุงเทพมหานคร ไว้จากเจ้าของรถดังกล่าว โดยมีกำหนดระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2541 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2542 เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2540 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก – 7632 สุพรรณบุรีของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้างหรือตามที่ได้รับมอบหมายหรือยินยอมของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยได้รับความเสียหายซึ่งหากพิจารณาข้อความที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องดังกล่าวจะเห็นได้ว่า เหตุละเมิดเกิดก่อนวันที่สัญญาประกันภัยมีผลคุ้มครองแต่ในการแปลคำฟ้องนั้นมิได้พิจารณาเฉพาะข้อความที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องเท่านั้น ต้องพิจารณาเอกสารท้ายฟ้องซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องประกอบด้วยและเมื่อได้พิจารณาเอกสารที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องอันได้แก่แผนที่เกิดเหตุ รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีและหนังสือทวงถามให้ชดใช้ค่าเสียหายประกอบด้วยแล้วปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวต่างระบุตรงกันว่าเหตุละเมิดเกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2542 ซึ่งอยู่ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย กรณีจึงเห็นได้ชัดว่าโจทก์พิมพ์ปีที่เกิดเหตุละเมิดผิดพลาด คือ พิมพ์ปี 2542 เป็นปี 2540 ซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดเล็กน้อยอันเป็นรายละเอียดแห่งคำฟ้อง กรณีถือได้ว่าโจทก์ได้อ้างในคำฟ้องแล้วว่า เหตุละเมิดเกิดในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย ส่วนเอกสารท้ายฟ้องจะรับฟังได้หรือไม่เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในชั้นพิจารณาและศาลเป็นผู้วินิจฉัยดังนั้น เมื่อโจทก์อ้างว่าโจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไปแล้ว โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ทำละเมิดและจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างหรือตัวการให้ร่วมรับผิดในมูลละเมิดดังกล่าวได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง แม้โจทก์จะมิได้แก้ไขคำฟ้องในส่วนที่พิมพ์ผิดพลาดดังกล่าวและไม่ว่าจำเลยทั้งสองจะให้การต่อสู้ในเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่มีผลกระทบต่ออำนาจฟ้องของโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยทั้งสองและถือเอาคำฟ้องที่พิมพ์ผิดพลาดมาเป็นข้อวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจึงไม่ถูกต้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่”