คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2121/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจำเลยโดยบรรยายฟ้องว่าเงินรางวัลและค่าครองชีพพิเศษเงินสะสมค่าเครื่องแบบค่าต่อทะเบียนรถยนต์ค่าภาษีเงินได้ค่ารถประจำตำแหน่งและโบนัสพิเศษเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าด้วยจำเลยให้การว่าไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเพราะเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์มีความผิดแม้จะมิได้ต่อสู้ว่าเงินรายการใดเป็นค่าจ้างหรือไม่แต่เมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแล้วศาลย่อมต้องพิจารณาต่อไปว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องเป็นจำนวนเงินเท่าใดโดยคำนวณจากอายุงานและค่าจ้างเป็นหลักเมื่อรายการใดถือไม่ได้ว่าเป็นค่าจ้างตามกฎหมายอันจะพึงนำมารวมคำนวณเป็นค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแล้วโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องในเงินจำนวนนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่าเงินและสิ่งของที่โจทก์ได้รับรวม8รายการมิใช่ค่าจ้างจึงเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับประเด็นไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือเป็นเรื่องที่ถือว่าจำเลยยอมรับแล้ว เงินรางวัลเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้จากผลกำไรซึ่งแล้วแต่ผู้บริหารจะกำหนดเองและไม่แน่นอนมิใช่เป็นเงินที่ให้เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรงส่วนค่าครองชีพพิเศษก็มิได้แยกจำนวนไว้ต่างหากโดยกำหนดรวมไว้เป็นเงินรางวัลและค่าครองชีพพิเศษผลจึงเป็นว่าการจ่ายเงินรางวัลและค่าครองชีพพิเศษต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้บริหารของจำเลยที่จะกำหนดและเป็นจำนวนไม่แน่นอนเงินประเภทนี้จึงมิใช่ค่าจ้าง จำเลยได้จ่ายเงินสะสมสมทบโดยมิได้หักเงินเดือนของลูกจ้างและได้จ่ายสมทบนับแต่พนักงานของจำเลยได้รับการบรรจุเป็นลูกจ้างประจำส่วนสิทธิที่ลูกจ้างจะได้รับเงินสะสมก็ต่อเมื่อออกจากงานหากออกจากงานก่อนครบ5ปีหรือออกเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือประมาทเลินเล่อหรือต้องจำคุกโดยคำพิพากษาก็ไม่มีสิทธิได้รับนอกจากจำเลยจะพิจารณาเห็นสมควรเงินประเภทนี้จึงมิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานอันพึงถือว่าเป็นค่าจ้าง ค่าต่อทะเบียนรถยนต์ปีละ1,000บาทจำเลยจ่ายให้แก่พนักงานบางระดับที่ไม่มีรถยนต์ประจำตำแหน่งแต่สำหรับโจทก์ซึ่งมีรถยนต์ประจำตำแหน่งได้รับอนุมัติช่วยเหลือด้วยซึ่งเป็นเพียงการช่วยเหลือในด้านสวัสดิการมิใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานถือไม่ได้ว่าเป็นค่าจ้าง จำเลยเติมน้ำมันให้แก่โจทก์เพื่อให้โจทก์ได้ใช้รถยนต์ประจำตำแหน่งมีจำนวนมากน้อยแล้วแต่การใช้งานแต่ไม่เกินเดือนละ300ลิตรหากใช้น้อยก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องในส่วนที่ใช้ยังไม่ครบจึงเป็นจำนวนไม่แน่นอนและมิใช่การเหมาจ่ายกรณีเป็นเรื่องที่จำเลยอนุเคราะห์โจทก์เกี่ยวกับการใช้พาหนะมิใช่เงินหรือสิ่งของที่จ่ายเป็นการตอบแทนการทำงานอันจะถือเป็นค่าจ้าง ภาษีเงินได้ที่จำเลยออกให้โจทก์โดยมิได้หักจากเงินเดือนของโจทก์เป็นการที่จำเลยจัดให้มีขึ้นเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างให้ได้รับค่าจ้างเต็มอัตราตามสัญญาจ้างเพื่อความมั่นคงในการดำรงชีพและดำรงฐานะให้เหมาะสมกับตำแหน่งยิ่งขึ้นเป็นสวัสดิการที่จำเลยจัดหาให้แก่ลูกจ้างมิใช่เป็นเงินที่ให้เพื่อตอบแทนการทำงานของลูกจ้างจึงมิใช่ค่าจ้าง จำเลยจัดรถยนต์ประจำตำแหน่งให้โจทก์ได้ใช้ก็เพื่อประโยชน์ในการที่โจทก์ใช้เป็นพาหนะเพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนแม้บางเวลาโจทก์อาจนำไปใช้เป็นส่วนตัวได้บ้างก็เป็นเรื่องการอนุเคราะห์ในด้านความสะดวกสบายบางประการเท่านั้นกรณีไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพของการอำนวยประโยชน์ของความสะดวกสบายเช่นนี้มาเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนได้จึงมิใช่ค่าจ้าง เงินโบนัสไม่ใช่เงินซึ่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานกำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างนายจ้างจะกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายอย่างใดก็ได้ตามแต่นายจ้างจะเป็นผู้กำหนดและการจ่ายเงินโบนัสพิเศษก็เป็นไปตามดุลพินิจของกรรมการผู้จัดการใหญ่ของจำเลยเป็นผู้กำหนดและเป็นจำนวนไม่แน่นอนจึงมิใช่ค่าจ้าง โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานกลางเรียกพยานเอกสารจากจำเลยหลายฉบับหลายครั้งคำร้องทุกฉบับโจทก์ได้ชี้แจงแสดงเหตุที่จะต้องขอให้เรียกเอกสารจากจำเลยและศาลแรงงานกลางได้สอบถามรายละเอียดของข้อเท็จจริงในเอกสารต่างๆจากโจทก์บ้างแล้วมีความเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับคดีและไม่มีความจำเป็นต้องนำสืบดังนี้เป็นการที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้งดสืบพยานหลักฐานดังกล่าวตามป.วิ.พ.มาตรา86ประกอบพรบ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา31เมื่อโจทก์ได้เบิกความถึงข้อเท็จจริงต่างๆในเอกสารเหล่านั้นโดยไม่จำต้องอาศัยพยานเอกสารการเรียกเอกสารดังกล่าวจึงไม่จำเป็นแก่คดีศาลแรงงานกลางชอบที่จะสั่งยกคำร้องของโจทก์ได้ พยานเอกสารที่จำเลยนำมาสืบแม้เป็นเพียงภาพถ่ายมิใช่ต้นฉบับเอกสารแต่เมื่อจำเลยส่งอ้างเป็นพยานต่อศาลโจทก์มิได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสารนั้นพยานโจทก์และพยานจำเลยหลายปากก็ได้เบิกความรับรองและอ้างถึงเอกสารดังกล่าวซึ่งเท่ากับยอมรับว่าเอกสารนั้นมีอยู่จริงและมีข้อความตรงกับต้นฉบับถือได้ว่าโจทก์ยอมรับว่าภาพถ่ายเอกสารนั้นถูกต้องแล้วศาลย่อมรับฟังเอกสารดังกล่าวได้หาเป็นการขัดต่อป.วิ.พ.มาตรา93ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบ โจทก์ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แต่เกิดขัดแย้งกับกรรมการผู้จัดการและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจำเลยกรรมการผู้จัดการใหญ่ของจำเลยจึงมีคำสั่งย้ายโจทก์ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการธนาคาร ซึ่งไม่มีเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำงานและไม่มีพนักงานใต้บังคับบัญชาโจทก์ได้รับมอบหมายให้ทำงานเพียง2 ครั้งในช่วงเวลา 2 ปี จำเลยไม่พิจารณาขึ้นเงินเดือนให้โจทก์2 ปีติดต่อกันแล้วมีหนังสือให้โจทก์ออกจากงาน เป็นการเลิกจ้างโดยกลั่นแกล้งโจทก์เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยรับดจทก์กลับเข้าทำงานและใช้ค่าเสียหายจนกว่าจะรับกลับเข้าทำงานหากไม่อาจปฏิบัติได้ให้ใช้ค่าเสียหาย ค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
จำเลยให้การว่า ตำแหน่งผู้ตรวจการธนาคารเป็นกตำแหน่งสูงสุดในระดับผู้จัดการฝ่าย และอยู่ในระดับเดียวกับต่ำแหน่งผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบที่โจทก์เคยดำรงอยู่เดิม มีรายได้สวัสดิการและสิทธิอื่นๆเท่าเดิม โจทก์ไม่ยอมทำงาน เมื่อจำเลยเตือนโจทก์ โจทก์เสนองานที่ไม่มีคุณภาพไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ธนาคาร จำเลยจึงพิจารณาไม่ขึ้นเงินเดือนให้โจทก์ 2 ปีติดต่อกัน ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่โจทก์จะถูกเลิกจ้างตามคำสั่งของธนาคารที่ 132/2523 จำเลยถึงเลิกจ้างโจทก์เพราะการกระทำของโจทก์เป็นการกระทำที่จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างซึ่งได้เตือนเป็นหนังสือแล้วจำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินตามฟ้อง และไม่อาจรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การโยกย้ายโจทก์ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการธนาคารชอบด้วยระเบียบปฏิบัติ ฟังไม่ได้ว่าผู้บริหารระดับสูงของจำเลยสมคบกันกลั่นแกล้งโยกย้ายโจทก์ จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ไม่มีผลงานจึงไม่ได้รับการพิจารณาขึ้นเงินเดือน 2 ปีติดต่อกัน คำสั่งเลิกจ้างโจทก์มิใช่เป็นการกลั่นแกล้งของเจ้าหน้าที่บริหารชั้นสูงของจำเลย จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชย 6 เดือน และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 1 เดือน ซึ่งจำเลยคำนวณจากเงินเดือน ค่าครองชีพค่าอาหาร ค่าน้ำมันรถยนต์ และโจทก์ได้รับไปแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์อุทธรณ์ประการแรกว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจำเลยโดยบรรยายฟ้องว่า เงินรางวัลและค่าครองชีพพิเศษ เงินสะสมค่าเครื่องแบบ ค่าต่อทะเบียนรถยนต์ ค่าน้ำมันรถยนต์ ค่าภาษีเงินได้ค่ารถประตำแหน่งและโบนัสพิเศษ เป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการลอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยให้การต่อสู้ว่า ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยโดยมิได้ต่อสู้ว่า เงินจำนวนใดเป็นค่าจ้างหรือไม่ ศาลจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าเงินดังกล่าวเป็นค่าจ้างหรือไม่เพราะถือว่าจำเลยยอมรับแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานนั้น ค่าชดเชยเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง และการคำนวณค่าชดเชยนั้นก็ต้องเป็นไปตามข้อ 46 ซึ่งกำหนดว่า ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างประจำซึ่งเลิกจ้าง โดยถือหลักอายุงานของลูกจ้างเป็นเกณฑ์จ่าย ดังนั้นค่าชดเชยที่ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับเพียงใดจึงต้องคำนวณโดยถืออายุงานและค่าจ้างเป็นหลักและตามข้อ 2 ได้ให้คำวิเคราะห์ศัพท์คำว่าค่าจ้างได้ว่า หมายความว่า เงินหรือเงินและสิ่งของที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน หรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ และหมายความรวมถึงเงิน หรือเงินและสิ่งของที่จ่ายให้ในวันหยุดซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานและในวันลาด้วย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะกำหนดคำนวณหรือจ่ายเป็นการตอบแทนในวิธีอย่างไร และไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร เช่นนี้ เมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจำเลยแล้ว ศาลก็ย่อมต้องพิจารณาต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเป็นจำนวนเงินเท่าใดโดยคำนวณตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น เมื่อรายการใดถือไม่ได้ว่าเป็นค่าจ้างตามกฎหมายอันพึงนำมารวมคำนวณเป็นค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแล้ว โจทก์ก็ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องตามกฎหมายในเงินจำนวนนั้น ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าเงินและสิ่งของที่โจทก์ได้รับรวม 8 รายการมิใช่ค่าจ้างจึงเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับประเด็น กรณีหาใช่เป็นเรื่องนอกประเด็นหรือเป็นเรื่องที่ถือว่าจำเลยยอมรับแล้วไม่
เงินรางวัลเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้จากผลกำไรซึ่งแล้วแต่ผู้บริหารจะกำหนดเองและไม่แน่นอนมิใช่เป็นเงินที่ให้เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง ส่วนค่าครองชีพพิเศษก็มิได้มีการแยกจำนวนกันไว้ต่างหากว่าโจทก์จะได้รับเป็นเงินปีละเท่าใด จำเลยได้กำหนดรวมไว้เป็นเงินรางวัลและค่าครองชีพพิเศษเท่านั้น จึงไม่อาจแบ่งแยกให้เห็นกันได้โดยชัดแจ้ง เมื่อจำนวนเงินยังคงรวมกันอยู่เช่นนี้ผลจึงเป็นว่าการจ่ายเงินรางวัลและค่าครองชีพพิเศษ จึงต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้บริหารของจำเลยที่จะกำหนดและเป็นจำนวนไม่แน่นอนด้วยดังนั้นเงินประเภทนี้จึงมิใช่ค่าจ้าง
เงินสะสม จำเลยได้ถือปฏิบัติตามระเบียบธนาคารทหารไทย จำกัดว่าด้วยเงินทุนสะสม พ.ศ. 2520 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะผดุงฐานะพนักงานของธนาคารเมื่อออกจากงานด้วยวิธีให้มีเงินทุนสะสมไว้เป็นบำเหน็จตามสมควร จำเลยได้จ่ายเงินสะสมสมทบโดยมิได้หักจากเงินเดือนของลูกจ้าง และได้จ่ายสมทบนับแต่พนักงานของจำเลยได้รับการบรรจุเป็นลูกจ้างประจำ ส่วนสิทธิที่ลูกจ้างจะได้รับเงินสะสมก็ต่อเมื่อออกจากงาน แต่ถ้าหากลูกจ้างลาออกจากงานก่อนครบกำหนด 5 ปีหรือออกตามคำสั่งของธนาคารเพราะกระทำการทุจริตต่อหน้าที่ หรือประมาทเลินเล่อ หรือต้องจำคุกโดยคำพิพากษา ลูกจ้างผู้นั้นไม่มีสิทธิได้รับนอกจากจำเลยจะพิจารณาตามที่เห็นสมควร เช่นนี้ จึงเห็นได้ว่าเงินประเภทนี้มิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงาน อันพึงถือว่าเป็นค่าจ้างด้วย
ค่าต่อทะเบียนรถยนต์ จำเลยจะจ่ายเงินประเภทนี้ให้แก่พนักงานบางระดับที่ไม่มีรถยนต์ประจำตำแหน่ง แต่สำหรับโจทก์นี้เป็นกรณีที่ผู้จัดการฝ่ายอำนวยการกลางของจำเลยได้อนุมัติให้โจทก์ได้รับการช่วยเหลือเช่นเดียวกับพนักงานชั้น ก. เท่านั้น ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าจำเลยจ่ายเงินประเภทนี้ให้แก่โจทก์ก็เป็นเพียงการช่วยเหลือโจทก์ในด้านสวัสดิการ มิใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานให้แก่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างถือไม่ได้ว่าเป็นค่าจ้างตามกฎหมาย
ค่าน้ำมันรถยนต์เดือนละ 300 ลิตร จำเลยเติมน้ำมันให้แก่โจทก์เพื่อให้โจทก์ได้ใช้รถยนต์ประจำตำแหน่งซึ่งจะมีจำนวนมากหรือน้อยก็ย่อมแล้วแต่การใช้งานซึ่งจะไม่เกินเดือนละ 300 ลิตร หากใช้น้อยโจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องในส่วนที่ใช้ยังไม่ครบนั้นดังนั้นการจ่ายน้ำมันของจำเลยให้แก่โจทก์จึงเป็นจำนวนที่ไม่แน่นอนและมิใช่เป็นการเหมาจ่ายกรณีดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่จำเลยอนุเคราะห์โจทก์เกี่ยวกับการใช้พาหนะ เงินประเภทนี้จึงมิใช่เงินหรือสิ่งของที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานอันจะถือเป็นค่าจ้าง
ค่าภาษีเงินได้ เห็นว่าการเสียภาษีเงินได้นี้ ผู้มีรายได้มีหน้าที่ต้องเสียต่อกรมสรรพากร และโดยทั้วไปแล้วในแต่ละปีผู้มีรายได้จะเสียในจำนวนที่ไม่แน่นอนซึ่งขึ้นอยู่กับรายได้สิทธิในการได้รับการหลักลดหย่อนต่าง ๆ และตามอัตราที่ประมวลรัษฎากรกำหนดไว้จำเลยได้จัดให้มีขึ้นก็เป็นเพียงการช่วยเหลือลูกจ้างให้ได้รับค่าจ้างได้เต็มอัตราตามสัญญาจ้าง เพื่อความมั่นคงในการดำรงชีพและดำรงฐานะให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ดียิ่งขึ้น เงินประเภทนี้จึงเป็นสวัสดิการที่จำเลยจัดหาให้แก่ลูกจ้าง มิใช่เป็นเงินที่ให้เพื่อตอบแทนการทำงานของลูกจ้าง จึงมิใช่ค่าจ้าง
ค่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง เห็นว่า การที่จำเลยจัดรถยนต์ประจำตำแหน่งโจทก์ได้ใช้ก็เพื่อประโยชน์ในการที่โจทก์ใช้เป็นพาหนะมายังสำนักงานและเพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ของตน แม้บางเวลาโจทก์อาจนำไปใช้เป็นส่วนตัวได้บ้างก็เป็นเรื่องการอนุเคราะห์ในด้านความสะดวกสบายบางประการเท่านั้นกรณีไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพของการอำนวยประโยชน์ของความสะดวกสบายเช่นนี้มาเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนได้ มิฉะนั้นแล้วสิ่งอื่นใดที่เป็นการอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานก็จะถือเป็นค่าจ้างไปเสียทั้งสิ้นเงินที่โจทก์เรียกร้องประเภทนี้จึงมิใช่ค่าจ้างตามกฎหมาย
โบนัสพิเศษเฉลี่ยรายปี เงินประเภทนี้เป็นเงินที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ของจำเลยจัดสรรจ่ายให้แก่ลูกจ้างจากกำไรสุทธิและมิได้จ่ายให้แก่พนักงานของจำเลยทุกคน เห็นว่าเงินโบนัสไม่ใช่เงินซึ่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้าง หากนายจ้างจะจ่ายให้แก่ลูกจ้าง นายจ้างจะกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายอย่างใดก็ได้ตามแต่นายจ้างจะเป็นผู้กำหนด และการจ่ายก็เป็นไปตามดุลพินิจของกรรมการผู้จัดการใหญ่ของจำเลยเป็นผู้กำหนดและเป็นจำนวนไม่แน่นอนเงินประเภทนี้จึงมิใช่ค่าจ้าง
อุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไป ศาลฎีกาเห็นว่าคำร้องของโจทก์ทุกฉบับ โจทก์ได้ชี้แจงแสดงเหตุที่จะต้องขอให้เรียกเอกสารจากจำเลย และศาลแรงงานกลางได้สอบถามรายละเอียดของข้อเท็จจริงในเอกสารต่าง ๆ จากโจทก์บ้าง และครั้งสุดท้ายตามคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2527 นั้น โจทก์ก็ได้แสดงรายละเอียดและประโยชน์ต่าง ๆ อันพึงได้รับจากเอกสารเหล่านี้โดยชัดแจ้งซึ่งศาลแรงงานได้พิจารณาแล้วมีความเห็นสรุปได้ว่า ไม่เกี่ยวข้องกับคดีและไม่มีความจำเป็นต้องนำสืบ เช่นนี้ เห็นว่าศาลแรงงานกลางได้มีคำสั่งให้งดสืบพยานหลักฐานดังกล่าวนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มารตรา 31 และศาลฎีกาได้พิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์ได้เบิกความถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในเอกสารเหล่านี้ในเรื่องอันเป็นสาเหตุที่จะฟังว่ามีการกลั่นแกล้งโจทก์ โดยไม่จำต้องอาศัยพยานเอกสารการเรียกเอกสารดังกล่าวจึงไม่จำเป็นแก่คดี ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ชอบด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว
อุทธรณ์ประการสุดท้ายนั้นศาลฎีกาเห็นว่า แม้เอกสารที่จำเลยนำมาสืบจะเป็นเพียงภาพถ่ายมิใช่ต้นฉบับเอกสารก็ตาม แต่เมื่อจำเลยส่งอ้างเป็นพยานต่อศาลโจทก์มิได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสารนั้นแต่ประการใด นอกจากนั้นพยานโจทก์และพยานจำเลยหลายปากก็ได้เบิกความรับรองและอ้างถึงเอกสารดังกล่าวไว้ ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าเอกสารดังกล่าวมีอยู่จริงและมีข้อความตรงกับต้นฉบับถือได้ว่าโจทก์ยอมรับว่าภาพถ่ายเอกสารนั้นถูกต้องแล้ว ศาลจึงรับฟังเอกสารดังกล่าวได้ หาเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 ไม่
พิพากษายืน.

Share