คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 104/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การฟ้องให้จำเลยร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายในมูลละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 432 ไม่จำต้องบรรยายว่าจำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดต่อโจทก์คนละเท่าใด เพราะจำเลยต้องร่วมกันรับผิดตามฟ้องอยู่แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้มีหนังสือร้องเรียนโจทก์ต่อผู้บังคับบัญชา กล่าวหาว่าโจทก์ไม่ยอมทำงานเอาแต่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ มือคติ ในการทำงาน พยายามหน่วงเหนี่ยวและกระทำการเป็นกำแพงฟ้องกันการส่งสินค้าออก ซึ่งเป็นการร้องเรียนกล่าวหาฝ่าฝืนความจริง จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2528 จำเลยที่ 1 ขณะปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างและกระทำการแทนจำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือร้องเรียนโจทก์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวหาว่าโจทก์เป็นข้าราชการมีอคติในการทำงาน ใช้วาจาไม่สุภาพ พยายามหน่วงเหนี่ยวและกระทำตนเป็นกำแพงป้องกันการส่งออก ขัดต่อนโยบายของรัฐบาล เมื่อจำเลยที่ 1 นำผ้าไหมและปลอกหมอนไปให้ตรวจสอบรับรองมาตรฐานเพื่อส่งออกและเมื่อเจ้าหน้าที่เสนอเรื่องให้โจทก์ตรวจเอกสารโจทก์กลับนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไม่ยอมตรวจเอกสารที่เสนอ ให้จำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์ช่วยตรวจสอบโจทก์กลับตวาดจำเลยที่ 1 และอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป ซึ่งคำกล่าวหาดังกล่าวล้วนเป็นความเท็จ ความจริงโจทก์ปฏิบัติราชการถูกต้องตามระเบียบแบบแผน ไม่เคยบกพร่องต่อหน้าที่ไม่เคยใช้วาจาไม่สุภาพ หรือพยายามหน่วงเหนี่ยวการส่งออกและไม่เคยกระทำตนเป็นกำแพงป้องกันการส่งออก และเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2528จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 ลงพิมพ์โฆษณาบทความคำร้องเรียนของจำเลยที่ 1 ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับประจำวันดังกล่าว ซึ่งเป็นการร่วมกันไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความเท็จ การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ 100,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ร่วมกันโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์สยามรัฐและหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเป็นเวลา 7 วัน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ทำหนังสือร้องเรียนโจทก์ เนื่องจากไม่ได้รับความสะดวกในการติดต่อราชการ และเป็นการเสนอข้อความจริงที่เกิดขึ้นหาได้นำความเท็จมากล่าวเพื่อให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังไม่ จำเลยที่ 1 ที่ 2ไม่เคยให้ข่าวหรือให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับข้อความในหนังสือร้องเรียนต่อจำเลยที่ 3 ฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทนเคลือบคลุมเนื่องจากไม่แสดงโดยชัดแจ้งว่า จำเลยแต่ละคนต้องรับผิดคนละเท่าใด ถ้าโจทก์เสียหายจริงก็ไม่เกิน 1,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1ที่ 2 ร้องเรียนโจทก์ จำเลยที่ 3 เป็นเพียงเจ้าของหนังสือพิมพ์สยามรัฐมิได้รู้เห็นด้วย หนังสือพิมพ์สยามรัฐได้ข่าวที่ลงพิมพ์มาจากข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ และข้อความที่ลงนั้นเป็นความจริงโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระค่าเสียหาย 20,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ร่วมกันจัดให้มีการโฆษณาคำพิพากษาของศาลให้ประชาชนทราบในหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน และหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับละ 7 วันโดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 เสียค่าใช้จ่าย หากจำเลยที่ 1 ที่ 2ไม่ปฏิบัติตาม ให้โจทก์จัดการโฆษณาเองโดยคิดค่าใช้จ่ายจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3
โจทก์ และจำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันและไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้มีหนังสือร้องเรียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์ กล่าวหาว่าโจทก์ใช้วาจาไม่สุภาพมีอคติในการทำงาน พยายามหน่วงเหนี่ยวและกระทำการเป็นกำแพงป้องกันการส่งสินค้าออก มีรายละเอียดตามหนังสือร้องเรียนเอกสารหมาย จ.48คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ที่จำเลยที่ 1 มีหนังสือร้องเรียนดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และโจทก์เสียหายเพียงใด
สำหรับปัญหาข้อแรกที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 1และที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องให้จำเลยร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์โดยไม่ได้แยกให้แต่ละคนรับผิดคนละเท่าใดฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายในมูลละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 จึงไม่จำต้องบรรยายว่าจำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดต่อโจทก์คนละเท่าไร เพราะจำเลยต้องร่วมกันรับผิดเต็มตามฟ้องอยู่แล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
สำหรับปัญหาข้อที่ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า ที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียนกล่าวหาโจทก์ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.48 ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์เห็นว่า คู่ความนำสืบรับกันและไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบคุณภาพสินค้าของจำเลยที่ 2 ตามคำร้องของจำเลยที่ 1เสร็จเวลา 11.35 นาฬิกา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำเรื่องตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ไปเสนอโจทก์ นางสาวสุวิมล ติจิณานนท์ และนายปฐม พานิชยานุสนธิ์ เพื่อตรวจสอบตามลำดับ โจทก์และบุคคลทั้งสองตรวจสอบเสร็จจนกระทั่งส่งเรื่องคืนให้แก่ฝ่ายควบคุมมาตรฐานสินค้าเวลา 11.50 นาฬิกา จึงฟังได้ว่า โจทก์ นางสาวสุวิมลและนายปฐมใช้เวลาตรวจสอบเรื่องตามคำร้องของจำเลยที่ 1 รวมกันไม่เกิน 15 นาทีเฉลี่ยแล้วคนหนึ่งใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที สอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์ที่ว่า โจทก์ใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 5 นาที ที่จำเลยที่ 1เบิกความว่า เจ้าหน้าที่นำเรื่องตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ไปเสนอขณะโจทก์กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์และโจทก์ยังคงอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไปอีกประมาณ 10 นาที จำเลยที่ 1 จึงเข้าไปขอร้องให้โจทก์ช่วยตรวจสอบเรื่องตามคำร้องของจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า ในเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เจ้าหน้าที่นำเรื่องตรวจสอบเสร็จผ่านไปยังนางสาวสุวิมลและนายปฐมตรวจสอบอีกตามลำดับใช้เวลารวมกันประมาณ15 นาที ดังนี้ หากเสนอเรื่องตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ต้องรอให้โจทก์อ่านหนังสือพิมพ์ต่อไปนานประมาณ10 นาที ดังที่จำเลยที่ 1 เบิกความแล้ว จะส่งเรื่องตามคำร้องของจำเลยที่ 1 คืนให้แก่ฝ่ายควบคุมมาตรฐานสินค้าในเวลา 11.50 นาฬิกาได้อย่างไร คำเบิกความของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงขัดต่อเหตุผลไม่น่าเชื่อ แต่น่าเชื่อว่า โจทก์ใช้เวลาตรวจสอบเรื่องตามคำร้องของจำเลยที่ 1 เพียงประมาณ 5 นาที ดังที่โจทก์เบิกความ ซึ่งนอกจากจะฟังได้ว่าโจทก์ปฏิบัติงานในหน้าที่ตามปกติแล้ว ยังฟังได้ว่าปฏิบัติงานในหน้าที่ด้วยความรวดเร็วด้วยที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่าพอเข้าไปขอร้องให้โจทก์ช่วยตรวจสอบเรื่องตามคำร้องแล้วโจทก์พูดว่า”ผมไม่ชอบให้พ่อค้ามาเร่งข้าราชการ ผู้รู้หน้าที่ของผมดี ผมไม่ชอบ”นั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะใช้วาจาดังกล่าวก็เชื่อว่าเกิดจากความไม่พอใจที่จำเลยที่ 1 มาเร่งรัด และถ้อยคำดังกล่าวก็มิใช่ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ ประกอบกับโจทก์ได้ปฏิบัติหน้าที่ไปตามปกติโดยมิชักช้าดังได้วินิจฉัยแล้วข้างต้น จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ใช้วาจาไม่สุภาพและมีอคติในการทำงาน ดังนั้นที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียนกล่าวหาว่าร้องเรียนกล่าวหาว่าโจทก์ไม่ยอมทำงานเอาแต่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์มีอคติในการทำงาน และกระทำการหน่วยเหนี่ยวเป็นกำแพงป้องกันการส่งสินค้าออก จึงเป็นการร้องเรียนกล่าวหาที่ฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องเสียหาย จำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อโจทก์ด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนปัญหาข้อที่ว่า ค่าเสียหายมีเพียงใด มีข้อวินิจฉัยเฉพาะเรื่องที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์เท่านั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า เพียงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์สยามรัฐซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้หรือในหนังสือพิมพ์สายกลางฉบับใดฉบับหนึ่งเพียง 3 วัน ก็เป็นการเพียงพอที่สาธารณชนทั่วไปรับรู้ ข้อนี้เห็นว่า งานในหน้าที่ของโจทก์เป็นงานบริการประชาชนผู้มาติดต่อจึงย่อมมีประชาชนผู้มาติดต่อทั้งพอใจและไม่พอใจในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์บ้างเป็นธรรมดาดังนั้น จำเลยที่ 1 ซึ่งมาติดต่อแล้วบังเกิดความไม่พอใจในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์จึงได้ร้องเรียนกล่าวหา แม้จะบิดเบือนข้อเท็จจริงไปบ้าง จะฟังว่าเป็นพฤติการณ์ที่ร้ายแรงยังไม่ถนัดประกอบกับโจทก์ได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายไปแล้วส่วนหนึ่งที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ และไทยรัฐ ฉบับละ 7 วัน ยังไม่เหมาะแก่รูปคดีไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวันเพียงฉบับเดียวมีกำหนด 3 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share