คำสั่งคำร้องที่ 2322/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218วรรคแรก จึงไม่รับ
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218วรรคแรก ที่แก้ไขใหม่เริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2532เป็นต้นไป คดีนี้จำเลยที่ 2 ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 12กันยายน 2532 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 เก่ามีผลใช้บังคับเมื่อจำเลยที่ 2 ถูกจำคุกเกินกว่า5 ปี จำเลยที่ 2 จึงยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 156)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ประกอบมาตรา 336 ทวิ และผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ มาตรา 11 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ประกอบมาตรา 336 ทวิซึ่งเป็นบทหนัก เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมที่เป็นกระทงความผิดจำคุกกระทงละ 4 ปี รวม 3 กระทง จำคุก 12 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 ปี ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรค 3,336 ทวิและผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐพ.ศ. 2522 มาตรา 8,11 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 จำคุก 12 ปี ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 150แผ่นที่ 3)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 156)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขนั้น เป็นการจำคลาดเคลื่อนพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532มาตรา 11 ให้เพิ่มเติมข้อความเฉพาะมาตรา 218 วรรคสอง ส่วนวรรคแรกยังคงไว้อย่างเดิมและที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่ 2 ต้องโทษจำคุกเกิน 5 ปี จึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้นั้น ก็เป็นการเข้าใจกฎหมายคลาดเคลื่อนเช่นกัน เพราะกรณีของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างวาระกัน โจทก์อาจแยกฟ้องแต่ละกระทงความผิดได้ จึงต้องดูโทษแต่ละกระทงความผิดว่าจำคุกเกิน5 ปีหรือไม่ จะรวมเอาโทษทุกกระทงความผิดในคดีนั้นมาเป็นเกณฑ์คิดคำนวณหาได้ไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2กระทงละไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อย คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2เท่าเดิม ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share