คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ป.รัษฎากร มาตรา 56 วรรคสอง บัญญัติไว้เพื่อให้มีผู้รับผิดชอบในการยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญ จ. มีหุ้นส่วน 2 คน คือ ห. กับจำเลยที่ 2 เมื่อ ห. ตายจึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ที่จะต้องยื่นรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในนามของห้างหุ้นส่วนสำหรับปีภาษีนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยื่นรายการเพื่อเสียภาษีและเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินไปยังจำเลยที่ 1 แล้ว แม้จะมิได้แจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อทายาทของ ห. ก็ไม่ทำให้การประเมินเสียไป
ในกรณีที่ห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคลเลิกกันโดยไม่มีการชำระบัญชีผู้เป็นหุ้นส่วนและบุคคลผู้มีอำนาจจัดการมีหน้าที่ร่วมกันยื่นแบบแสดงรายการการค้าตามป.รัษฎากร มาตรา 77 และ 84 ฉวรรคสองเมื่อห.ผู้เป็นหุ้นส่วนตายเป็นเหตุให้ห้างหุ้นส่วนเลิกกันตามป.พ.พ. มาตรา 1055(5) และไม่มีการชำระบัญชี จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นหุ้นส่วนที่เหลือต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนห้างหุ้นส่วนในการเสียภาษี การที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินภาษีการค้าของห้างหุ้นส่วนต่อจำเลยที่ 1จึงชอบด้วย ป.รัษฎากร มาตรา 88
ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญทุกคนต้องร่วมกันรับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจำกัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 1025 เมื่อ ห. ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งตายทายาทผู้รับมรดกของ ห. ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรดังกล่าวด้วย
การคำนวณเงินเพิ่มภาษีการค้าตาม ป.รัษฎากร มาตรา 89 ทวิต้องเริ่มนับเมื่อพ้น 15 วัน ถัดจากเดือนภาษี ทั้งเงินเพิ่มดังกล่าวจะต้องไม่เกินกว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระโดยไม่รวมเบี้ยปรับ การที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงินเพิ่มตามมาตรา 89 ทวิ ดังกล่าวเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับนายหอม จันทร์เศรษฐ์ เป็นหุ้นส่วนทำการค้าร่วมกันในนามห้างหุ้นส่วนสามัญจันทรวัฒน์ก่อสร้างนายหอมถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 เป็นทายาทโดยธรรมและเป็นผู้รับมรดกของนายหอม เจ้าพนักงานประเมินได้ตรวจสอบพบว่าห้างหุ้นส่วนดังกล่าวเสียภาษีไว้ไม่ถูกต้องและต้องเสียภาษีเพิ่มเติม รวมภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณที่จ่าย ภาษีการค้า เงินเพิ่มเบี้ยปรับ และภาษีบำรุงเทศบาลที่จำเลยที่ 1 กับพวกต้องชำระเป็นเงินทั้งสิ้น 950,080.81 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรดังกล่าวด้วยโจทก์แจ้งการประเมินภาษีทุกประเภทให้จำเลยทราบแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้จำเลยร่วมกันชำระภาษีอากรดังกล่าวกับเงินเพิ่มภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน หรือเศษของเดือน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ทวิ นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ให้การว่า นายหอมมิได้ร่วมทำการค้ากับจำเลยที่ 1 หากนายหอมจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2ถึงที่ 8 ก็ไม่ต้องรับผิดเพราะมิได้เป็นผู้ก่อหนี้ดังกล่าวขึ้นจำเลยไม่เคยได้รับหมายเรียกจากเจ้าพนักงานประเมิน เจ้าพนักงานประเมินมิได้แจ้งการประเมินให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ทราบ การประเมินไม่ชอบโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและคดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าภาษีอากรตามฟ้องพร้อมเงินเพิ่มภาษีการค้า อัตราร้อยละ 1 ของเดือน หรือเศษของเดือนเป็นเงินเดือนละ 417.54 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ไม่ให้เกิน 79เดือนนับแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2530 (วันถัดจากวันฟ้อง) เป็นต้นไปให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า นายหอม จันทร์เศรษฐ์ กับจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนทำการค้าร่วมกัน โดยใช้ชื่อว่าห้างหุ้นส่วนสามัญจันทรวัฒน์ก่อสร้าง ระหว่างที่ทำการค้าร่วมกันนี้ นายหอมถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2524 ครั้นปี 2527 เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์หมายเรียกจำเลยที่ 1 ไปทำการไต่สวนและให้นำบัญชีสำหรับปี 2524 ไปมอบให้เจ้าพนักงานทำการตรวจสอบด้วย ทั้งนี้เพราะเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรสงสัยว่าห้างหุ้นส่วนสามัญจันทรวัฒน์ก่อสร้าง ชำระภาษีในปี 2524 ไม่ถูกต้อง ผลการตรวจสอบไต่สวนพบว่าห้างหุ้นส่วนดังกล่าวจะต้องชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย และภาษีการค้าตลอดจนเงินเพิ่มเบี้ยปรับให้โจทก์รวม 950,080.81 บาท เจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินต่อจำเลยที่ 1 โดยมิได้แจ้งต่อจำเลยที่ 2ถึงที่ 8 ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมผู้รับมรดกของนายหอม เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์การประเมิน โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ในฐานะผู้รับมรดกนายหอมร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระภาษีอากรที่มีการประเมินให้โจทก์ด้วยมีปัญหาว่าการที่เจ้าพนักงานประเมินไม่แจ้งการประเมินให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ทายาทโดยธรรมของนายหอมผู้ตายซึ่งเป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ 1 ทราบ เป็นเหตุให้การประเมินไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อเจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบและประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลนั้นกรณีที่บุคคลธรรมดาบางคนในห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคล นั้นถึงแก่ความตายประมวลรัษฎากรมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า ให้แจ้งการประเมินไปยังผู้ใดมีแต่มาตรา 56 วรรคสอง บัญญัติเกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาว่า ให้ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลอื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินในชื่อห้างหุ้นส่วน หรือคณะบุคคลนั้น และกำหนดให้ผู้มีตำแหน่งดังกล่าวรับผิดเสียภาษีในชื่อของห้างหุ้นส่วน หรือคณะบุคคลนั้นด้วยแต่หากมีภาษีค้างชำระ หุ้นส่วนทุกคนหรือบุคคลในคณะบุคคลทั้งหมดต้องร่วมกันรับผิด ที่กฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้เห็นได้ว่าก็เพื่อให้มีผู้รับผิดชอบในการยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินและเสียภาษีหุ้นส่วนสามัญในคดีนี้มีหุ้นส่วนเพียง 2 คน คือ นายหอมกับจำเลยที่1 เมื่อนายหอมถึงแก่ความตายในปี 2524 โดยสภาพบังคับ จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะต้องยื่นรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในนามของห้างหุ้นส่วนสำหรับปีภาษีนั้น กรณีที่จำเลยที่ 1 ไม่ยื่นรายการเพื่อเสียภาษี เจ้าพนักงานประเมินจึงต้องเรียกจำเลยที่ 1ผู้รับผิดชอบมาทำการตรวจสอบไต่สวน แล้วแจ้งการประเมินไปยังจำเลยที่ 1 ผู้รับผิดในการเสียภาษีในนามของห้างหุ้นส่วน และในกรณีที่จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้และรับผิดชอบในการเสียภาษีแล้ว หากนายหอมยังมีชีวิต เมื่อนายหอมไม่ใช่ผู้มีหน้าที่เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุที่เจ้าพนักงานประเมินจะแจ้งการประเมินให้นายหอมทราบฉะนั้นการที่เจ้าพนักงานประเมินไม่ได้แจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8ทายาทของนายหอมจึงไม่ทำให้การประเมินเสียไป คำพิพากษาฎีกาที่3252/2524 ระหว่าง กรมสรรพากร โจทก์ นายสุรินทร์ สหไพบูลย์กิจกับพวก จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 อ้างมาในคำแก้อุทธรณ์เป็นเรื่องของบุคคลธรรมดาไม่ใช่ห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลดังในคดีนี้จึงนำมาเทียบเคียงไม่ได้
สำหรับภาษีการค้านั้นเมื่อประเมินแล้ว ประมวลรัษฎากร มาตรา 88บัญญัติให้แจ้งการประเมินไปยังผู้ประกอบการค้า กรณีบริษัทซึ่งประมวลรัษฎากร มาตรา 77 ให้คำจำกัดความไว้ว่า ให้หมายถึงห้างหุ้นส่วน และคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคลด้วยเลิกกันโดยไม่มีการชำระบัญชีนั้น ประมวลรัษฎากร มาตรา 84 ฉ วรรคสอง ให้ผู้เป็นหุ้นส่วน และบุคคลผู้มีอำนาจจัดการ มีหน้าที่ร่วมกันยื่นแบบแสดงรายการค้า ซึ่งมีผลเท่ากับว่าให้บุคคลที่กล่าวทำหน้าที่เป็นตัวแทนห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลผู้ประกอบการค้าในการเสียภาษีการค้า เมื่อนายหอมหุ้นส่วนถึงแก่ความตาย อันเป็นเหตุให้ห้างหุ้นส่วนเลิกกันดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1055(5) และไม่ปรากฏว่ามีการชำระบัญชี จำเลยที่ 1หุ้นส่วนที่มีชีวิตจึงต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนห้างหุ้นส่วนสามัญจันทรวัฒน์ก่อสร้างผู้ประกอบการค้าในการเสียภาษี การที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินภาษีการค้าให้จำเลยที่ 1 ทราบ จึงเป็นการปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังวินิจฉัยมาเห็นว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินชอบแล้วเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์การประเมินและไม่ชำระภาษีอากรของห้างหุ้นส่วนภายในกำหนด ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องร่วมกันรับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรดังกล่าวโดยไม่มีจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1025 เมื่อนายหอมผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ทายาทโดยธรรมผู้รับมรดกของนายหอม จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรดังกล่าวด้วย… แต่ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินเพิ่มภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนเป็นเงินเดือนละ 417.54 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ไม่ให้เกิน 79เดือนนับแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2530 เป็นต้นไปนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ยังไม่ถูกต้องเพราะได้คำนวณรวมภาษีบำรุงเทศบาลเข้าไว้ด้วยและการคำนวณเงินเพิ่มภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ทวิ นั้นต้องเริ่มนับเมื่อพ้น 15 วัน ถัดจากเดือนภาษีตามมาตรา 89 ทวิวรรคสาม ทั้งเงินเพิ่มดังกล่าวจะต้องไม่เกินกว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระโดยไม่รวมเบี้ยปรับตามมาตรา 89 ทวิ วรรคท้าย โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องว่าในปี 2524 จำเลยที่ 1 กับพวกชำระภาษีการค้าไว้ไม่ถูกต้อง จะต้องเสียภาษีการค้าประจำเดือนมีนาคม ตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม เพิ่มเติมเป็นเงิน 1,428 บาท 10,232.25 บาท 16,511.25 บาทและ 9,787.75 บาท ตามลำดับ ซึ่งต้องเสียเงินเพิ่มภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน คำนวณถึงวันที่ 15 กันยายน 2528 เป็นเวลา 53เดือน 46 เดือน 45 เดือน และ 44 เดือน ตามลำดับ และจำเลยที่ 1กับพวกต้องเสียเงินเพิ่มภาษีการค้าในอัตราดังกล่าวนับแต่วันที่ 16กันยายน 2528 จนถึงวันฟ้องอีกเป็นเวลา 21 เดือน รวมเป็นเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีการค้าเงินเพิ่ม และเบี้ยปรับทั้งหมดจนถึงวันที่ 28 พฤษภาคม 2530 ซึ่งเป็นวันฟ้องแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 950,080.81 บาท แสดงว่าทุนทรัพย์ตามคำฟ้องของโจทก์นั้น โจทก์ได้คำนวณรวมเงินเพิ่มภาษีการค้าของเดือนมีนาคม ตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม ปี 2524 ตามมาตรา89 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรไว้แล้วเป็นเวลา 74 เดือน 67 เดือน 66เดือน และ 65 เดือน ตามลำดับดังนั้นจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มภาษีการค้าดังกล่าวต่อไป นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จอีกไม่เกิน 26 เดือน 33 เดือน 34 เดือน และ 35 เดือน ตามลำดับเงินเพิ่มภาษีการค้าดังกล่าวจึงจะไม่เกินจำนวนภาษีที่ต้องชำระโดยไม่รวมเบี้ยปรับ การที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินเพิ่มดังกล่าวในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ไม่ให้เกิน 79 เดือน นับถัดจากวันฟ้องนั้น จึงเป็นการพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทุกคนร่วมกันชำระเงิน 950,080.81บาท ให้โจทก์ พร้อมด้วยเงินเพิ่มภาษีการค้าตามมาตรา 89 ทวิ ในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีการค้านับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จซึ่งเมื่อรวมกับเงินเพิ่มที่กล่าวในฟ้องแล้ว จะต้องไม่เกินจำนวนภาษีการค้าที่ต้องชำระตามฟ้องโดยไม่รวมเบี้ยปรับ แต่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ไม่ต้องรับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรดังกล่าวเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง

Share