แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง การที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าตนเองมีสิทธิพิเศษอย่างใด อันจะถือได้ว่าทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นไม่ผิด และไม่มีเจ้าพนักงานคนใดสั่งให้จำเลยทำลายทรัพย์สินของโจทก์ เช่นนี้เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปรื้อรั้วทำลายพืชของโจทก์ให้ได้รับความเสียหายเป็นการรบกวนการครอบครอง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84, 358, 362, 363
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโจทก์เข้าครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จนถูกฟ้องขับไล่ให้ออกและถูกเปรียบเทียบปรับฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานโจทก์ก็ยังไม่ยอมออกแม้รับฟังว่าจำเลยนำนักเรียนเข้าไปในที่พิพาท ก็ไม่เป็นผิดฐานบุกรุกเพราะโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองโดยชอบ รูปคดีน่าเชื่อว่าในที่พิพาทมีพืชผลที่โจทก์ปลูกไว้บ้าง แม้รับฟังว่าจำเลยนำนักเรียนตัดทำลาย ก็เป็นการพัฒนาการทำสนามของโรงเรียน จำเลยในฐานะครูใหญ่จำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงภายในขอบอำนาจหน้าที่เพื่อยังความเจริญมาสู่โรงเรียน อันถือได้ว่าเป็นการกระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจำเลยไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 70 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรร์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าในที่พิพาทมีต้นไม้และพืชผลมากมาย จำเลยนำสืบฟังได้ว่าที่พิพาทนั้นเป็นที่รกร้างมีแต่หญ้ากับต้นมะม่วง 1 ต้น การที่จำเลยให้นักเรียนแผ้วถางไม่ทำให้โจทก์เสียหายการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำตามคำสั่งของทางราชการซึ่งจำเลยเชื่อว่าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยนำสืบไม่ได้ว่าตนเองมีสิทธิพิเศษอย่างใด อันจะถือได้ว่าทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นไม่ผิด และไม่มีเจ้าพนักงานคนใดสั่งให้จำเลยทำลายทรัพย์สินของโจทก์ เช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์