แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเข้ามาปลูกโรงเรือนในที่ดินของโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้อนุญาต ขอให้รื้อถอนและใช้ค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าได้เช่าที่ดินจากผู้มีชื่อ ซึ่งจำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นผู้มีสิทธิให้เช่าดังนี้ ตามฟ้องก็ดีจำเลยต่อสู้ก็ดี ไม่เป็นมาในรูปของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยเข้าปลูกโรงเรือนในที่ดินของโจทก์ โดยไม่มีอำนาจ กรณีจึงต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 แต่มาตรา 1310นี้ มีความแบ่งเป็นสองนัย คือเจ้าของที่ดินประมาทเลินเล่อหรือไม่ ฉะนั้นศาลจะพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนตามที่โจทก์ฟ้องทีเดียวยังไม่ได้ จึงต้องพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องร้องใหม่ตามรูปคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยได้เข้ามาสร้างห้องแถวในที่ดินของโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้อนุญาต โจทก์บอกให้รื้อ จำเลยผัดแล้วเพิกเฉยเสียจึงขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไป และชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยได้เช่าที่ดินนี้จากนายพิศ ซึ่งจำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นผู้มีสิทธิเช่า
ศาลแพ่งพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามรูปคดี ต้องฟังว่าจำเลยเข้าปลูกโรงเรือนในที่ดินของโจทก์ โดยไม่มีอำนาจ กรณีจึงต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 คดีนี้ จำเลยต่อสู้ไว้ว่า จำเลยได้กระทำไปโดยสุจริต เชื่อว่านายพิศมีอำนาจให้เช่า แต่มาตรา 1310 นี้มีความแบ่งเป็นสองนัย คือเจ้าของที่ดินประมาทเลินเล่อหรือไม่ การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ก็ดี จำเลยต่อสู้ก็ดี ก็ไม่เป็นมาในรูปของมาตรา 1310 ศาลจะพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนตามโจทก์ร้องขอทีเดียวยังไม่ได้
จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่ไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องร้องใหม่ตามรูปคดี