แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จังหวัดซึ่งเป็นนิติบุคคลและมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แทนนั้นเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้กระทำการใดอันเป็นการปฏิบัติไปตามอำนาจและหน้าที่ราชการในตำแหน่งแล้วจังหวัดก็จะต้องรับผิดชอบ โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายจึงมีอำนาจฟ้องจังหวัดเป็นจำเลยได้
โจทก์ปลูกสร้างอาคารลงในที่ดินของตน ต่อมาน้ำในแม่น้ำได้เซาะตลิ่งพังเข้าไปถึงใต้ถุนอาคารโจทก์จึงได้ต่อเสาและเอาไม้ค้ำยันเพื่อป้องกันมิให้อาคารของตนพังลงนั้น หาใช่โจทก์เข้าไปปลูกปักอาคารในที่ซึ่งเป็นทางสัญจรของประชาชน หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามความหมายของประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 44 ไม่
ย่อยาว
ตามฟ้องของโจทก์ทั้ง 10 สำนวนได้ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและห้องแถวซึ่งตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ จำเลยได้มีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนห้องแถว โดยอ้างอาศัยอำนาจประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 44 โจทก์เห็นว่าคำสั่งของจำเลยไม่ชอบ จึงขอให้ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องและเพิกถอนคำสั่งของจำเลยเสีย
จำเลยให้การปฏิเสธเป็นอย่างเดียวกันทุกสำนวนว่า คำสั่งของจำเลยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า คำสั่งของจำเลยไม่ชอบด้วยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 44 ไม่มีผลบังคับ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องหรือรื้อถอนอาคารของโจทก์
จำเลยทั้ง 10 สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้ง 10 สำนวนฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จังหวัดเป็นนิติบุคคล ซึ่งโดยสภาพย่อมไม่สามารถกระทำการด้วยตนเองได้ กฎหมายจึงบัญญัติให้กระทำโดยทางผู้แทน และตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ย่อมเห็นได้ว่าผู้แทนของจังหวัดก็คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด คดีนี้ แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์จะมีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนอาคารบ้านเรือนโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 44 ก็ดี แต่การที่กระทำไปนั้นก็เป็นการปฏิบัติไปตามอำนาจและหน้าที่ราชการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งจังหวัดนครสวรรค์เป็นนิติบุคคลจะต้องรับผิดชอบ จึงเห็นว่า โจทก์ฟ้องจังหวัดนครสวรรค์เป็นจำเลยได้
ที่จำเลยฎีกาว่า อาคารของโจทก์ขณะปลูกสร้างได้ปลูกลงในที่ดินของตน ต่อมาที่ดินบางส่วนหรือทั้งหมดของโจทก์ได้กลายสภาพเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินไปแล้ว และอาคารของโจทก์ทั้งหมดหรือบางส่วนได้รุกล้ำเข้าไปในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยเห็นว่า ขณะนี้อาคารของโจทก์ได้รุกล้ำที่หรือทางสาธารณะแล้ว คำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดที่สั่งให้โจทก์ทุกสำนวนรื้ออาคารนั้นจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 44 และชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่า คดีทั้ง 10 สำนวนนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะปลูกสร้างอาคารนั้น ได้ปลูกลงในที่ดินของเอกชน ต่อมาลำน้ำน่านได้เซาะตลิ่งพังเข้ามาถึงไต้ถุนอาคารซึ่งบัดนี้เป็นของโจทก์จึงเห็นว่า โจทก์ทั้ง 10 สำนวนมิได้เข้าไปปลูกปักอาคารในที่ซึ่งเป็นทางสัญจรของประชาชนหรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังคำประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 44 เพราะอาคารของโจทก์ทั้ง 10 สำนวนได้ปลูกสร้างในที่ดินของเอกชนมาช้านานแล้ว เป็นแต่น้ำในลำน้ำน่านได้เซาะตลิ่งพังเข้าไปถึงใต้ถุนของอาคารเหล่านั้นต่างหาก ส่วนที่โจทก์ได้ต่อเสาและไม้ค้ำยันป้องกันมิให้อาคารทรุดพังลงนั้น ก็ไม่ใช่เป็นการที่โจทก์เข้าไปปลูกปักอาคารในที่ซึ่งเป็นทางสัญจรของประชาชนหรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันดังที่จำเลยฎีกา เพราะเป็นแต่โจทก์ได้ต่อเสาและไม้ค้ำยันเพื่อป้องกันไม่ให้อาคารของโจทก์พังลงเท่านั้น
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย