แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นภริยาของ ส. แม้ ส. จะเป็นเจ้าของรถตู้คันเกิดเหตุและโดยสารมาในรถตู้คันเกิดเหตุที่มี ว. ลูกจ้างของ ส. เป็นผู้ขับรถตู้คันดังกล่าวในขณะเกิดเหตุก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ส. มีส่วนประมาทเลินเล่อในเหตุการณ์รถชนที่เกิดขึ้น การที่ ส. ถึงแก่ความตายจึงเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของ ว. และของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนขับรถบรรทุกและรถพ่วงคู่กรณี ว. และ จำเลยที่ 1 ต้องร่วมกันรับผิดในผลแห่งการตายของ ส. ด้วยกัน และจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างจำเลยที่ 1 ก็ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ซึ่งฟ้องในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิง ณ. ทายาทของ ส. ผู้ตาย แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดต่อโจทก์เพียงฝ่ายเดียวโดยมิได้ฟ้อง ว. ลูกจ้าง ส. ให้ร่วมรับผิดด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 กับ ว. ต้องรับผิดเท่ากัน และให้ลดค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 ลงกึ่งหนึ่งจึงชอบแล้ว
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า เด็กหญิง ณ. มิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ส. โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น แม้เรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งคู่ความอาจยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และฎีกาได้ก็ตาม แต่ก็ต้องเป็นข้อกฎหมายที่เกิดจากข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ในข้อดังกล่าวไว้ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 15,400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา นางสาวกัลยาณี ถึงแก่ความตาย นางเตียว นางสาวทัศนีย์ และนางสาวนภัสกร ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสาวกัลยาณีและผู้ปกครองของเด็กหญิงณีรนุช ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 7,900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 อันเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดไม่เกินจำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 60,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 4,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับนายสมเกียรติ ผู้ตาย มีบุตรคือเด็กหญิงณีรนุช โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายสมเกียรติผู้ตาย ตามคำสั่งศาล โจทก์เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงณีรนุช นายสมเกียรติเป็นเจ้าของรถตู้หมายเลขทะเบียน อห 8844 กรุงเทพมหานคร ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 70 – 0928 สุราษฎร์ธานี และรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 70 – 0878 สุราษฎร์ธานี จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ได้รับประกันภัยรถบรรทุกดังกล่าวขณะเกิดเหตุ ตามหนังสือรับรองและสำเนากรมธรรม์ประกันภัย เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2548 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง นายวิชัย ซึ่งเป็นลูกจ้างนายสมเกียรติได้ขับรถตู้ของนายสมเกียรติโดยมีโจทก์และนายสมเกียรตินั่งมามุ่งหน้าไปจังหวัดสุรินทร์ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลกังแอน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ จำเลยที่ 1 ได้ขับรถบรรทุกและรถพ่วงคันดังกล่าวถอยออกจากซอย ทำให้ท้ายรถบรรทุกและรถพ่วงขวางทางเดินรถ นายวิชัยขับรถตู้เฉี่ยวชนรถบรรทุกที่จำเลยที่ 1 ขับในช่องเดินรถสวน เป็นเหตุให้รถตู้ได้รับความเสียหาย โจทก์และนายสมเกียรติได้รับอันตรายสาหัส ต้องเข้ารับรักษาตัวที่โรงพยาบาลและนายสมเกียรติถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา จำเลยที่ 1 และนายวิชัยถูกพนักงานอัยการฟ้องในความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 และนายวิชัยให้การรับสารภาพ คดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้อง ส่วนนายวิชัย คดีถึงที่สุดโดยศาลชั้นต้นพิพากษาว่า นายวิชัยมีความผิดตามฟ้องเช่นกันตามสำเนาคำพิพากษา
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 2 ประการแรกว่า จำเลยที่ 1 หรือนายวิชัย ฝ่ายใดมีส่วนประมาทมากกว่ากันหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่านายวิชัยขับรถตู้คันดังกล่าวโดยแซงรถยนต์คันอื่นบริเวณเส้นทึบ ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่มีจำเลยที่ 1 หรือนายกิตติมาเป็นพยาน แต่นายกิตติให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า ขณะโบกรถให้สัญญาณไม่มีอุปกรณ์ส่องแสง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ถอยรถบรรทุกโดยให้สัญญาณไฟให้รถยนต์คันอื่นหยุดรถ การที่จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกและรถพ่วงถอยออกจากซอยกีดขวางช่องเดินรถทั้งช่องขาไปและกลับในเวลากลางคืนโดยไม่ให้สัญญาณเป็นแสงสว่าง และนายวิชัยขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ไม่หยุดรถต่อท้ายรถที่จอดด้านหน้า กลับเร่งความเร็วแซงรถยนต์คันอื่นบริเวณเส้นทึบ ทำให้เกิดเหตุเฉี่ยวชนกับรถที่จำเลยที่ 1 ถอยออกมาในช่องเดินรถสวนดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และนายวิชัยมีส่วนประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยปัญหานี้ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 2 ประการต่อไปว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า เด็กหญิงณีรนุช มิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมเกียรติโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จำเลยที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ในข้อดังกล่าว แม้เรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งคู่ความอาจยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และฎีกาได้ก็ตาม แต่ก็ต้องเป็นข้อกฎหมายที่เกิดจากข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฎีกาข้อนี้เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนข้อฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า จำเลยที่ 1 และนายวิชัยมีส่วนประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ค่าเสียหายจึงต้องเป็นพับนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่านายวิชัยเป็นคนขับรถของนายสมเกียรติ มิใช่คนขับรถของโจทก์ โจทก์เป็นเพียงผู้โดยสารมาในรถตู้คันหมายเลขทะเบียน อห 8844 กรุงเทพมหานคร ที่นายวิชัยขับในขณะเกิดเหตุ โจทก์จึงเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้รับความเสียหายจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 และนายวิชัยซึ่งกระทำร่วมกัน ส่วนนายสมเกียรติแม้จะเป็นเจ้าของรถตู้คันเกิดเหตุและโดยสารมาในรถตู้คันดังกล่าว แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านายสมเกียรติมีส่วนประมาทเลินเล่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การที่นายสมเกียรติถึงแก่ความตายจึงเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 และนายวิชัย ซึ่งจำเลยที่ 1 กับนายวิชัยต้องร่วมกันรับผิดต่อเด็กหญิงณีรนุชในผลแห่งการตายของนายสมเกียรติด้วยเช่นกัน จำเลยที่ 1 และนายวิชัยจึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงณีรนุช และจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างจำเลยที่ 1 ก็ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 ดังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3
สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นั้น เห็นว่า ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้วว่านายวิชัยต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดต่อโจทก์เพียงฝ่ายเดียวโดยมิได้ฟ้องนายวิชัยลูกจ้างนายสมเกียรติให้ร่วมรับผิดด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 กับนายวิชัยต้องรับผิดเท่ากัน และให้ลดค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 ลงกึ่งหนึ่งจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 และโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ