คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1030/2532

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยมีสิทธิเบิกเงินสะสมของโจทก์เพื่อชดใช้เงินของทางราชการที่ขาดหายไปหรือไม่ การที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ตรวจสอบควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชา อันเป็นการทำละเมิดซึ่งโจทก์ต้องรับผิดชดใช้เงินดังกล่าว ทำให้จำเลยมีสิทธิเบิกเงินสะสมของโจทก์เพื่อชดใช้เงินของทางราชการที่ขาดหายไป เป็นการนำสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลย ไม่เป็นการนอกประเด็น
คดีเดิมมีประเด็นว่า โจทก์ทำละเมิดโดยร่วมกับ ส. โดยจงใจเบียดบังค่าภาษีอากร เงินรายได้อื่น และเงินทุนไปรษณีย์ของทางราชการหรือไม่ ส่วนคดีหลังมีประเด็นว่าโจทก์ทำละเมิดโดยละเว้นปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่ควบคุม ส. ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาในการปฏิบัติงาน เป็นเหตุให้ ส. เบียดบังเอาเงินของทางราชการไปหรือไม่ แม้ศาลจะวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ทำละเมิดในคดีแรกและคดีถึงที่สุดแล้วก็เป็นคนละประเด็นกับคดีหลังซึ่งศาลยังมิได้วินิจฉัย ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่โจทก์ไม่ต้องรับผิดในคดีก่อนจึงหาผูกพันคดีหลังไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นข้าราชการมีเงินสะสมที่หักจากเงินเดือนจำเลยกับพวกโดยไม่มีสิทธิได้เบิกเงินสะสมของโจทก์ไปชดใช้เงินของทางราชการที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์เบียดบังไปโดยโจทก์ไม่มีส่วนร่วมทำผิดด้วย ทั้งคดีที่พนักงานอัยการฟ้องว่าโจทก์ร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชายักยอกเงินดังกล่าว ศาลก็ยกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้ว จึงขอให้จำเลยร่วมกันคืนเงินสะสมจำนวน 35,011.36 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นสมุห์บัญชี มีหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ แต่โจทก์ได้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่ตรวจสอบและควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาให้รับเงินแล้วลงบัญชีและเก็บรักษาไว้ตามระเบียบ เป็นเหตุให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเบียดบังเอาเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ของตนหรือผู้อื่น ซึ่งเป็นการทำละเมิดทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้เงินตามที่คณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งของจำเลยลงความเห็น จำเลยจึงเบิกเงินสะสมของโจทก์ไปหักหนี้ที่โจทก์ต้องรับผิดชดใช้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินคืน ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘โจทก์ฎีกาในข้อกฎหมายเป็นประการแรกว่าจำเลยนำสืบว่า โจทก์ประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ราชการจำต้องชดใช้เงินจำนวนที่ขาดหายไปในหน้าที่ของโจทก์ เป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ศาลชั้นต้นยกเหตุดังกล่าวที่ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ราชการมาเป็นข้อวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยชดใช้เงินสะสมของโจทก์คืน จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยไม่ตรวจสอบควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาในการปฏิบัติงาน เป็นเหตุให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเบียดบังเอาเงินค่าภาษีอากรและเงินรายได้อื่นของรัฐที่มีผู้นำมาชำระไปเป็นการทำละเมิดทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โจทก์ต้องร่วมรับผิดชดใช้เงินดังกล่าว ซึ่งศาลชั้นต้นได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยมีสิทธิเบิกเงินสะสมของโจทก์เพื่อชดใช้เงินของทางราชการที่ขาดหายไปหรือไม่ ดังนั้น ในการวินิจฉัยประเด็นดังกล่าว ก็ต้องฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้กระทำการอันเป็นการทำละเมิดตามที่จำเลยให้การต่อสู้หรือไม่ การที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่หรือนำสืบว่าโจทก์ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ ไม่ตรวจสอบควบคุมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นการทำละเมิด โจทก์ต้องรับผิดชดใช้เงินดังกล่าวซึ่งจำเลยมีสิทธิเบิกเงินสะสมของโจทก์เพื่อชดใช้เงินของทางราชการที่ขาดหายไป เป็นการนำสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลย ไม่เป็นการนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ดังกล่าว และศาลชั้นต้นยกเหตุตามที่จำเลยนำสืบต่อสู้มาเป็นข้อวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ได้ หาเป็นการมิชอบดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
โจทก์ฏีกาอีกข้อหนึ่งว่า เกี่ยวกับเงินทุนไปรษณีย์และเงินรายได้อื่นที่ขาดหายไปที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้นั้นกระทรวงการคลังและการสื่อสารแห่งประเทศไทยได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ นายสุมิตร ชาสมบัติ นายธวัช ปรีดีสนิท และนายประโยชน์ ชูเกียรติเป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งมาแล้ว ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ทำละเมิด ไม่ต้องร่วมรับผิดใช้เงินแก่กระทรวงการคลังและการสื่อสารแห่งประเทศไทยคดีถึงที่สุดแล้ว โดยศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน คำพิพากษาดังกล่าวผูกพันโจทก์ที่จะไม่ต้องรับผิดใช้เงินคืน พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีที่กระทรวงการคลังและการสื่อสารแห่งประเทศไทยฟ้องโจทก์กับพวกนั้น ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้กระทำละเมิดต่อกระทรวงการคลังและการสื่อสารแห่งประเทศไทยโดยร่วมกับนายสุมิตรจงใจเบียดบังเงินค่าภาษีอากร เงินรายได้อื่น และเงินทุนไปรษณีย์ตามฟ้องแต่คดีนี้มีประเด็นที่พิพาทกันว่าโจทก์ละเว้นปฏิบัติการตามหน้าที่โดยไม่ตรวจตราควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาในการปฏิบัติงาน เป็นเหตุให้นายสุมิตรเบียดบังเอาเงินดังกล่าวไปหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นนี้ให้ในคดีก่อน จึงหามีข้อเท็จจริงในคดีก่อนมาผูกพันคดีนี้ที่โจทก์จะไม่ต้องรับผิดใช้เงินคืนดังที่โจทก์อ้างไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share