คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 103/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บทบัญญัติมาตรา 9 วรรค 3 แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477 หมายถึงการขับรถเลี้ยวตัดหน้ารถอื่นที่กำลังแล่นสวนทางมา หาใช่หมายถึงกรณีที่รถแล่นตาม ๆ กันมาไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามรถยนต์ซึ่งจำเลยเป็นผู้ขับไปตามถนนและสนามม้าครั้งถึงทางแยกเข้าคณะรัฐศาสตร์ จำเลยได้ขับรถเลี้ยวขวาเพื่อเข้าทางแยกนั้นโดยไม่ให้สัญญาณเลี้ยวทำให้โจทก์หยุดรถไม่ทัน ชนรถยนต์จำเลยโดยแรง โจทก์กระเด็นจากรถได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเพราะจำเลยขับรถโดยประมาทด้วยความเร็วปราศจากความระมัดระวัง เลี้ยวรถโดยไม่ดูกระจกหลังก่อนผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.๒๔๗๗ มาตรา ๙,๒๙(๔),๓๑(๒) ทำให้รถชนกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๐
จำเลยให้การต่อสู้ว่าเป็นความผิดของโจทก์เอง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าจำเลยประมาทเพราะมิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.๒๔๗๗ มาตรา ๙ วรรค ๓
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า บทบัญญัติมาตรา ๙ วรรค ๓ ดังกล่าวนั้น บัญญัติว่า”ในทางที่ไม่ใช่ทางแยก ห้ามไม่ให้เลี้ยวตัดหน้ารถยนต์หรือรถรางที่กำลังแล่นภายในระยะน้อยกว่า ๑๕ เมตร หมายถึงการขับรถเลี้ยวตัดหน้ารถอื่นที่กำลังแล่นสวนทางมาในระยะน้อยกว่า ๑๕ เมตร หาใช่หมายถึงกรณีที่รถแล่นตาม ๆ กันมาดังเช่นที่ได้ความในคดีนี้ไม่ เพราะรถที่แล่นสวนกันกับแล่นตามกันมานั้น โอกาสที่จะชนกันเนื่องจากการเลี้ยวต่างกันมาก กล่าวคือ รถที่แล่นสวนกันนั้นต่างก็ย่นระยะทางเข้าประชิดกัน ส่วนรถที่แล่นตามกันมาอาจเป็นการยืดระยะทางห่างกันออกไปก็ได้ ฉะนั้น ถ้ามีกำหนดระยะการเลี้ยวก็น่าจะกำหนดระยะไว้แตกต่างกัน ประกอบกับผู้ขับรถสวนกันย่อมเห็นรถที่แล่นสวนมาโดยจะแจ้ง ส่วนรถที่ขับตามกันมา คนขับรถคันหน้าอาจไม่เห็นรถที่ขับตามหลังก็ได้ ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์ขับรถตามหลังรถจำเลยห่างกันประมาณ ๗-๘ เมตร จำเลยให้สัญญาณเลี้ยวขวา และได้ชลอความเร็วลงแล้วเบนหัวเลี้ยวขวา โจทก์กลับหักรถไปทางขวา จึงชนรถจำเลยกลางคัน จะถือว่าจำเลยเลี้ยวรถตัดหน้าฝ่าฝืนกฎหมายที่โจทก์ฎีกามาหาได้ไม่
พิพากษายืน

Share