แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ขายฝากกับผู้รับซื้อฝากตกลงกันระงับสิทธิไถ่ถอนการขายฝากโดยผู้รับซื้อฝากยอมยกหนี้เงินกู้รายอื่นนอกจากการขายฝากให้ผู้ขายฝากและให้ผู้ขายฝากทำนาในที่ดินที่ขายฝากโดยไม่คิดค่าเช่าอีก 1 ปีฝ่ายผู้ขายฝากยอมยกที่พิพาทให้จำเลยถือว่าผู้ขายฝากสละสิทธิไม่ไถ่ถอนที่ดินคืนแล้ว และเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งไม่มีแบบของนิติกรรม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ขายฝากที่ดินโฉนดที่ 2957 ไว้กับจำเลยเป็นเงิน 17,320 บาท โดยจดทะเบียนการขายฝากไว้ตามสำเนาสัญญาขายฝากท้ายฟ้อง แต่จำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนไถ่คืนให้โจทก์ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนไถ่ที่ดินให้โจทก์ในราคาสินไถ่ 17,320 บาทหากจำเลยไม่ไป ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยคืนโฉนดให้โจทก์ด้วย
จำเลยให้การว่า รับซื้อฝากที่ดินโฉนดที่ 2957 ไว้จากโจทก์โดยมิได้กำหนดเวลาไถ่คืนจริง แต่โจทก์ยอมยกที่ดินที่ขายฝากให้จำเลย จำเลยยอมยกหนี้ตามสัญญากู้ 4 ฉบับ เงิน 10,049 บาท ซึ่งโจทก์กู้จำเลยไปต่างหากให้โจทก์ ทั้งยอมให้โจทก์ทำนาในที่ที่ขายฝากโดยไม่คิดค่าเช่าอีก 1 ปี ตามสำเนาข้อตกลงท้ายคำให้การสัญญาขายฝากเป็นอันระงับ โจทก์ไม่มีสิทธิไถ่คืน
วันนัดชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับกันว่า โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินไว้กับจำเลยตามสำเนาสัญญาขายฝากท้ายฟ้อง ไม่มีกำหนดเวลาไถ่ถอนจริง และต่อมาโจทก์จำเลยตกลงระงับสิทธิการไถ่ถอนการขายฝากตามสำเนาท้ายคำให้การของจำเลยคงขอต่อสู้เพียงประเด็นเดียวว่าสัญญาท้ายคำให้การเป็นการระงับสิทธิการไถ่ถอนการขายฝากหรือไม่โดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน ขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายเป็นข้อแพ้ชนะ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สัญญาท้ายคำให้การจำเลยเป็นเรื่องซื้อขายมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่เป็นเหตุตามกฎหมายที่จะระงับหรือตัดสิทธิไม่ให้โจทก์ไถ่ถอนที่นาพิพาท พิพากษาให้จำเลยรับชำระเงิน 17,320 บาทจากโจทก์ เป็นสินไถ่และจดทะเบียนปลอดการขายฝากต่อพนักงานที่ดิน ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาแทนเจตนาของจำเลย และให้จำเลยคืนโฉนดเลขที่ 2957 แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อตกลงของโจทก์จำเลยมีผลให้สิทธิของโจทก์ที่จะไถ่ถอนการขายฝากระงับไป หาจำเป็นต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาท้ายคำให้การจำเลยมีข้อความว่า “ฯลฯ เรื่องยกที่ดิน ข้าพเจ้านายชม ผ้าขาว ได้ตกลงยกที่ดินซึ่งเป็นที่นาให้นายช่วง กรมพระพุทธ ตามสัญญาที่ขายฝากนั้น บัดนี้ นายชม ผ้าขาว ได้ตกลงยกที่นาดังกล่าวข้างต้นนั้นให้นายช่วง กรมพระพุทธ หมดหนี้สินกัน และนายช่วง กรมพระพุทธ ได้ยอมให้นายชม ผ้าขาว ทำนาเปล่าโดยไม่คิดค่าเช่าในปี พ.ศ. 2509 เป็นเวลา 1 ปี เมื่อถึงกำหนด 10 ปีแล้ว ให้นายช่วง กรมพระพุทธ ไปทำการโอนเอาเอง ฯลฯ” ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยตกลงกันระงับสิทธิไถ่ถอนการขายฝากโดยมีค่าตอบแทน โดยจำเลยยอมยกหนี้เงินกู้รายอื่น นอกจากการขายฝากให้โจทก์ให้เป็นอันหมดหนี้สินต่อกัน และยังยอมให้โจทก์ทำนาในที่ดินที่ขายฝากอีก 1 ปีด้วย ฝ่ายโจทก์ยอมยกที่พิพาทให้จำเลย ซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวว่าโจทก์ยอมสละสิทธิไม่ไถ่ถอนที่พิพาทคืน จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 ซึ่งไม่มีแบบของนิติกรรมกำหนดไว้ โจทก์ต้องผูกพันโดยสัญญาต่างตอบแทนนี้ จึงมาฟ้องขอไถ่ที่พิพาทคืนไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน