แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ว. ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารจำเลยสาขาบางบอนโดยมี ส. จำนองที่ดินเป็นประกัน ต่อมาโจทก์ที่ 1 กับ ว. กู้ยืมเงินจากธนาคารจำเลยสาขาบางแค โดยมีโจทก์ทั้งสองจำนองที่ดินเป็นประกัน หนี้ประธานทั้งสองจำนวนเกิดขึ้นต่างสาขากัน และโจทก์ทั้งสองได้ทำสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันเต็มจำนวนหนี้ที่มีอยู่แต่ละสัญญาแล้ว สัญญาจำนองประกันหนี้ที่มีอยู่แก่จำเลยสาขาบางแค จึงแยกต่างหากจากหนี้ที่มีอยู่แก่จำเลยสาขาบางบอน ไม่มีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กัน ดังนั้น ข้อความที่ว่าเป็นประกันหนี้ทุกประเภททุกอย่างในข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองที่โจทก์ทั้งสองทำกับจำเลยสาขาบางบอนจึงหมายถึงหนี้ประกันแต่ละสัญญา มิรวมถึงหนี้คนละประเภทและคนละสาขากัน เมื่อโจทก์ที่ 1 และ ว. ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินแก่จำเลยสาขาบางแค อันทำให้หนี้ประธานระงับสิ้นไปแล้ว หนี้ตามสัญญาจำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์จึงระงับไปด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 744 (1) แม้ ว. ยังเป็นหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่มีอยู่ต่อจำเลยสาขาบางบอนก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 กู้ยืมเงินจากจำเลยสาขาบางแคโดยโจทก์ทั้งสองได้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 99748, 99749, 99750 และ 99751 ไว้แก่จำเลยเพื่อประกันเงินกู้ของนายวิศาล วิเศษคุณธรรม และโจทก์ที่ 1 ที่มีต่อจำเลยทั้งที่มีอยู่แล้วและที่จะมีขึ้นในภายหน้าทุกลักษณะทุกประเภทนี้ หลังจากนั้นโจทก์ที่ 1 กับนายวิศาลได้ผ่อนชำระหนี้ให้แก่จำเลยจนครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดิน ขอให้บังคับจำเลยนำโฉนดที่ดินเลขที่ 99748, 99749, 99750 และ 99751 ตำบลบางบอน อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินและคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า นายวิศาล วิเศษคุณธรรม ยังเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีแก่จำเลยสาขาบางบอน โจทก์ทั้งสองต้องผูกพันรับผิดในหนี้ดังกล่าว จำเลยจึงชอบที่จะปฏิเสธการไถ่ถอนจำนองได้และไม่เป็นการละเมิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินตามโฉนดเลขที่ 99748 ถึง 99751 ตำบลบางบอน อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ทั้งสอง หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินที่ยึดถือไว้แก่โจทก์ทั้งสอง กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาท แทนโจทก์ทั้งสอง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่าเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2534 นายวิศาล วิเศษคุณธรรม ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลยสาขาบางบอน ในวงเงิน 10,000,000 บาท โดยมีนางไสว กลีบบัว จดทะเบียนจำนองที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1857 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกัน ต่อมาเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2534 โจทก์ที่ 1 กับนายวิศาลทำสัญญากู้ยืมเงินจากจำเลยสาขาบางแคจำนวน 4,200,000 บาท โดยโจทก์ทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกัน ต่อมาโจทก์ที่ 1 กับนายวิศาลชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินแก่จำเลยสาขาบางบอนจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงให้แก่โจทก์ทั้งสอง มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยต้องจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงและคืนโฉนดที่ดินพิพาททั้งสี่ฉบับแก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองกับจำเลยมีนิติสัมพันธ์กันเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2534 โจทก์ที่ 1 กับนายวิศาล วิเศษคุณธรรม ทำสัญญากู้ยืมเงินจำเลยสาขาบางแค จำนวน 4,200,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.2 โดยโจทก์ทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว แต่การที่โจทก์ทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงเป็นประกันหนี้แก่จำเลยนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่นายวิศาล วิเศษคุณธรรม ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลยสาขาบางบอน เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2534 วงเงิน 10,000,000 บาท ซึ่งในส่วนของหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีนี้ได้มีนางไสว กลีบบัว จดทะเบียนจำนองที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1857 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันเต็มวงเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี เมื่อโจทก์ทั้งสองทำสัญญาจำนองหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินของโจทก์ที่ 1 กับนายวิศาลในเวลาต่อมา ก็เป็นการจำนองประกันในวงเงิน 4,200,000 บาท เท่ากับจำนวนเงินตามสัญญากู้ยืมเงิน โดยที่สัญญาจำนองและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นประกันระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 ไม่มีข้อความตอนใดที่แสดงให้เห็นว่าสัญญาจำนองที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงที่กระทำกันในภายหลังนี้เกี่ยวข้องกับหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่นายวิศาลมีอยู่แก่จำเลยก่อนหน้านั้น ทำให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาว่าไม่ประสงค์ที่จะนำที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงไปเกี่ยวข้องกับหนี้เบิกเงินเกินบัญชีที่มีอยู่ต่อจำเลยสาขาบางบอน ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 กับนายวิศาลชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินแก่จำเลยสาขาบางแคอันเป็นหนี้ประธานระงับสิ้นไปแล้ว หนี้ตามสัญญาจำนองที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ย่อมระงับไปด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744 (1) ฉะนั้น จำเลยจึงมีหน้าที่จะต้องจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสอง ที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาจำนองและข้อความต่อท้ายสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 มีข้อตกลงว่าหนี้สินและภาระผูกพันใดๆ ที่จำนองเป็นประกัน ได้แก่หนี้สินและภาระผูกพันทุกประเภททุกอย่าง ที่มีต่อผู้รับจำนองแล้วในเวลานี้และที่จะมีขึ้นต่อไปในภายหน้าเมื่อหนี้สินและภาระผูกพันประเภทใดประเภทหนึ่งหรืออย่างใดอย่างหนึ่งระงับสิ้นไปแต่หนี้สินและภาระผูกพันประเภทอย่างอื่นยังมีอยู่หรือจะมีต่อไปในภายหน้า สัญญาจำนองไม่ระงับสิ้นไปคงผูกพันเป็นประกันต่อไป เมื่อปรากฏว่านายวิศาลยังคงเป็นหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่มีอยู่ต่อจำเลยสาขาบางบอนอยู่ สัญญาจำนองไม่ระงับสิ้นไปนั้น เห็นว่า หนี้ประธานทั้งสองจำนวนที่มีอยู่แก่จำเลยเกิดขึ้นคนละสาขากันและได้มีการทำสัญญาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้เต็มจำนวนหนี้ที่มีอยู่แต่ละสัญญา สัญญาจำนองประกันหนี้ที่มีอยู่แก่จำเลยสาขาบางแค จึงแยกต่างหากจากกัน มิได้มีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับหนี้ที่มีอยู่แก่จำเลยสาขาบางบอน แต่อย่างใดไม่ ดังนั้น ข้อความที่ว่าเป็นประกันหนี้ทุกประเภททุกอย่างในข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองจึงหมายถึงหนี้ประกันแต่ละสัญญา หารวมถึงหนี้คนละประเภทและคนละสาขากันดังเช่นจำเลยฎีกาไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ