แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าโจทก์บุกรุกเข้าไปอยู่ในห้องของจำเลยนั้น แม้จำเลยผู้แจ้งจะไม่ประสงค์ให้ดำเนินคดีก็ตาม แต่จากคำแจ้งความนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกโจทก์กับพวกไปสอบสวน เมื่อโจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องได้เช่นนี้ ซึ่งถ้าเป็นจริงโจทก์ก็น่าจะได้รับความเสียหาย นั้น นับว่าคดีของโจทก์มีมูล ควรได้รับการพิจารณาแล้ว
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2505)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจแจ้งความเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจบางรักว่า จำเลยอยู่บ้านตำบลสุริวงศ์ พระนคร โจทก์บุกรุกเข้าไปอยู่อาศัย พนักงานเชื่อ จึงได้จับตัวโจทก์ ทำให้ได้รับความเสียหาย ความจริงจำเลยมิได้อยู่ในบ้านนั้น ทั้งโจทก์มิได้บุกรุกเข้าไปอาศัย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยนำความไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์บุกรุกเข้าไปอยู่ในห้องของจำเลยนั้น แม้จำเลยผู้แจ้งจะไม่ประสงค์ให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีอาญาก็ตาม แต่ก็เห็นเจตของจำเลยได้แล้วว่า ต้องการให้ตำรวจจับโจทก์ไปเสียจากท้องที่อยู่ดังกล่าว ข้อเท็จจริงได้ความว่า เนื่องจากคำแจ้งความของจำเลย เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจบางรักได้เรียกโจทก์กับพวกไปสอบสวน ซึ่งถ้าเป็นจริงตามนี้ โจทก์ก็น่าจะได้รับความเสียหายศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า เท่าที่โจทก์นำพยานมาให้ศาลไต่สวน นับว่าคดีของโจทก์มีมูลควรจะได้รับการพิจารณาอยู่แล้ว สมควรจะได้ฟังข้อต่อสู้ของจำเลยและดำเนินการพิจารณาต่อไป
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นรับประทับฟ้องของโจทก์