คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จะถือว่าเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์หรือไม่นั้นจะต้องพิเคราะห์คำให้การประกอบด้วย มิใช่พิเคราะห์แต่คำฟ้องเพียงอย่างเดียว เพราะแม้คำฟ้องจะเป็นคดีขอให้ปลดเปลื้อง ทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ก็ตาม แต่ถ้าจำเลยให้การต่อสู้ในเรื่องกรรมสิทธิ์แล้ว ก็ต้องกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ปลูกสร้างโรงเรือนที่จอดรถในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นทางเข้าในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ 15 ตารางวา ทั้งได้แสดงภาพถ่ายโรงเรือนที่จอดรถของจำเลยมาด้วย ซึ่งทำให้จำเลยสามารถเข้าใจได้แล้ว ส่วนในเรื่องที่ดินที่เสียหายอยู่ในส่วนไหน กว้างยาวเท่าใดและวัน เดือน ปีที่จำเลยทำการปลูกสร้างโรงเรือนที่จอดรถนั้น เป็นรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ตลอดจนปรากฎจากคำให้การว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้องด้วย ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ปลูกสร้างโรงเรือนที่จอดรถรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตกเป็นเนื้อที่ประมาณ15 ตารางวา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินเดือนละ10,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 50,000 บาทแก่โจทก์ ให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนโรงเรือนที่จอดรถออกจากที่ดินโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้ารบกวนในที่ดินโจทก์ หากจำเลยและบริวารไม่ปฎิบัติตาม ขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนโรงเรือนที่จอดรถและขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยโดยจำเลยเป็นผู้ชำระเงินค่ารื้อถอน ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนโรงเรือนที่จอดรถออกจากที่ดินโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนที่พักอาศัยและที่จอดรถบนที่ดินของจำเลยเอง ไม่ได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้เห็นว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อสิทธิในที่ดินของโจทก์อย่างไร เมื่อใด เป็นฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 8614 ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชจังหวัดนครศรีธรรมราช และให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนที่จอดรถออกไปจากที่ดินโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน15,000 บาท และจำเลยต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ3,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่โจทก์ และรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาข้อ 3 ของจำเลยว่า อุทธรณ์ของจำเลยต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 หรือไม่ เห็นว่าคดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนโรงเรือนที่จอดรถออกไปจากที่ดินพิพาท อันเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ก็ตามแต่เนื่องจากจำเลยให้การต่อสู้ในเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดังนั้น จึงกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 28 มิถุนายน 2539 ให้โจทก์ประเมินราคาที่ดินพิพาทและเสียค่าขึ้นศาลภายใน 15 วัน และโจทก์ได้ประเมินราคาที่ดินพิพาทเป็นเงิน 12,075 บาท ตามคำแถลงของโจทก์ฉบับลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2539 ในสำนวนซึ่งจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่าการประเมินราคาของโจทก์ดังกล่าวไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงฟังเป็นยุติได้ว่าจำนวนทุนทรัพย์ของคดีนี้เป็นเงินเท่ากับราคาที่ดินพิพาท 12,075 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาทนับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 5 เดือน เป็นเงิน 15,000 บาท รวมเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ทั้งสิ้น 27,075 บาท ซึ่งไม่เกิน50,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงโดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนี้ในศาลชั้นต้นมิได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้เช่นนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ย่อมไม่รับวินิจฉัยให้ ที่จำเลยฎีกาว่าคดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากอาคารพิพาทโดยอาศัยมูลละเมิด โดยจำเลยมิได้อยู่อาศัยในอาคารพิพาทโดยสิทธิอาศัยหรือสิทธิตามสัญญาเช่า ตามฟ้องโจทก์เป็นคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงเป็นคดีที่ไม่มีทุนทรัพย์นั้น เห็นว่า การที่จะถือว่าเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์หรือไม่นั้นจะต้องพิเคราะห์คำให้การประกอบด้วยมิใช่พิเคราะห์แต่คำฟ้องเพียงอย่างเดียว เพราะแม้คำฟ้องจะเป็นคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ก็ตาม แต่ถ้าจำเลยให้การต่อสู้ในเรื่องกรรมสิทธิ์แล้ว ก็ต้องกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายตามฎีกาข้อ 3ของจำเลยมีว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนที่ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์อย่างไรนั้น เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการซื้อมาจากบุคคลภายนอกหลังจากโจทก์ได้กรรมสิทธิ์มาแล้วก็ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนที่จอดรถที่ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทออกไป เพื่อโจทก์จะได้ทำการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ไว้ขาย แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนโรงเรือนที่จอดรถออกไปจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ครบถ้วนตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วฟ้องโจทก์ในส่วนที่ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์อย่างไรจึงไม่เคลือบคลุม ที่จำเลยฎีกาว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุวัน เดือน และปี ที่จำเลยทำการปลูกสร้างโรงเรือนที่จอดรถตลอดจนไม่ได้บรรยายว่าจำนวนเนื้อที่ดินที่เสียหายในส่วนไหนกว้างและยาวเท่าไร ทำให้จำเลยอ่านไม่เข้าใจและไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้องนั้น เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องแล้วว่า จำเลยได้ปลูกสร้างโรงเรือนที่จอดรถในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นทางเข้าในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ 15 ตารางวาทั้งโจทก์ได้แสดงภาพถ่ายโรงเรือนที่จอดรถของจำเลยมาด้วย ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 ซึ่งทำให้จำเลยสามารถเข้าใจได้แล้วส่วนในเรื่องที่ดินที่เสียหายอยู่ในส่วนไหน กว้างและยาวเท่าใดเป็นรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ และสำหรับวันเดือน และปีที่จำเลยทำการปลูกสร้างโรงเรือนที่จอดรถก็เป็นรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้เช่นเดียวกัน ตลอดจนปรากฎจากคำให้การว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้องด้วยฎีกาของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน

Share