คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1016/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หลังจากจำเลยกับผู้เสียหายเลิกทะเลาะและกอดปล้ำต่อสู้กันแล้ว มีผู้พาจำเลยไปส่งบ้าน ส่วนผู้เสียหายเข้าไปนั่งอยู่ในเต็นท์ จากนั้นประมาณ 10-30 นาที จำเลยกลับเข้ามาในเต็นท์โดยลอบเข้ามาทางด้านหลังผู้เสียหายและใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายเช่นนี้มิใช่กระทำเพื่อป้องกันสิทธิของจำเลยหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแต่อย่างใด ไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289, 80
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 (4) ประกอบด้วยมาตรา 52 (1) ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78, 53 คงจำคุกมีกำหนด 33 ปี 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท้จจริงฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงถูกผู้เสียหาย1 ครั้ง ที่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายทะลุเข้าภายใน ลึกถึงปอดด้านซ้ายมีเลือดและลมคั่งอยู่ในช่องเยื่อหุ้มปอดตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องและในใบความเห็นแพทย์เอกสารหมาย ป.จ.1ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำเพื่อป้องกันหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายและนายเริงศักดิ์ แดงสุภา เป็นประจักษ์พยานเบิกความว่าจำเลยทะเลาะกับผู้เสียหายเรื่องไฟแช็กของจำเลยหาย จำเลยกับผู้เสียหายกอดปล้ำต่อสู้กันจนล้มลงไปบนพื้นหญ้านายปัญญาน้องภริยาจำเลยเข้าห้ามให้เลิกกัน แล้วนายปัญญาพาจำเลยไปส่งบ้าน และผู้เสียหายเข้าไปนั่งเก้าอี้ในเต็นท์ได้ประมาณครึ่งชั่วโมง จำเลยเดินเข้ามาในเต็นท์ทางด้านหลังข้างซ้ายผู้เสียหาย จำเลยใช้มีดปาดตาลแทงถูกผู้เสียหาย 1 ครั้ง ที่ชายโครงด้านซ้าย ผู้เสียหายลุกขึ้นหันหลังไปดูเห็นจำเลย จึงยกเก้าอี้ขึ้นจะตี จำเลยวิ่งหนีออกจากเต็นท์ และผู้เสียหายวิ่งไล่ตามไปได้ประมาณ 10 วา เห็นว่าพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องประกอบกันมั่นคง โดยเฉพาะนายเริงศักดิ์นั้นเป็นญาติฝ่ายภริยาจำเลยและไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน ไม่มีเหตุระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลย สถานที่เกิดเหตุในเต็นท์ที่เล่นการพนันซึ่งมีการติดไฟฟ้าสว่าง นายเริงศักดิ์สามารถเห็นได้ว่าจำเลยกระทำความผิดซึ่งหน้าใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหาย ประกอบกับโจทก์มีนายเคี่ยม กุลฉัตรานนท์ กำนันท้องที่เกิดเหตุ เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่าพยานมาในงานศพพยานเห็นผู้เสียหายกับอีกคนหนึ่งทราบภายหลังว่าเป็นจำเลยกำลังกอดฟัดกันอยู่ข้างนอกเต็นท์ ห่างจากเต็นท์ที่เล่นการพนันประมาณ 3 วา แล้วต่อมาทั้งคู่ก็เลิกกันไป พยานจึงเรียกผู้เสียหายเข้ามาในเต้นท์ขอร้องไม่ให้มีเรื่องกันในงานศพส่วนคู่กรณี (หมายถึงจำเลย) หายไป ผู้เสียหายนั่งเก้าอี้อยู่ในเต็นท์กับพยานได้กว่า 10 นาที ขณะที่พยานดูการเล่นการพนัน กุ้ง ปูปลา เมื่อหันกลับมาก็เห็นผู้เสียหายใช้มือถือเก้าอี้ขึ้นวิ่งออกจากเต็นท์ไป แสดงให้เห็นว่า หลังจากจำเลยกับผู้เสียหายเลิกทะเลาะและกอดปล้ำต่อสู้กันแล้ว ต่อมาอีกนานประมาณ 10-30 นาที จำเลยจึงได้กลับเข้ามาใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายที่จำเลยนำสืบว่าผู้เสียหายบีบคอจำเลยจนหมดสติไป จำเลยมารู้สึกตัวตอนมีคนมาดึงแขนให้ลุกขึ้น จำเลยเข้าไปถามผู้เสียหายว่าทำร้ายจำเลยเรื่องอะไรผู้เสียหายไม่ตอบ กลับยกเก้าอี้ขึ้นตีศีรษะจำเลย 2-3 ครั้ง จำเลยหนีไปรอบ ๆ แล้วผู้เสียหายใช้เก้าอี้ตีถูกจำเลยที่ศีรษะด้านซ้ายทำให้จำเลยเซไป จำเลยเห็นมีดปลายแหลมวางอยู่ในถาดหมากจึงคว้ามีดขึ้นมา ผู้เสียหายกำลังจะใช้เก้าอี้ตีจำเลยอีกจำเลยจึงใช้มีดดังกล่าวจ้วงแทงผู้เสียหายแล้ววิ่งหนีไปนั้น จำเลยมีแต่จำเลยเพียงคนเดียวเบิกความไม่มีพยานอื่นสนับสนุน จำเลยมิได้กล่าวอ้างตั้งแต่ต้นว่าจำเลยกระทำเพื่อป้องกัน ชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพว่าพยายามฆ่าผู้เสียหาย ชั้นสอบสวนจำเลนให้การว่านายปัญญาน้องภริยาจำเลยได้เข้ามาห้ามให้แยกจากกัน จากนั้นผู้เสียหายได้กลับเข้าไปนั่งเก้าอี้ตรงข้างวงการพนัน ส่วนจำเลยเดินออกจากบ้านงานศพ แต่ยังไม่ทันพ้นบ้านจำเลยคิดโมโหขึ้นมาจึงได้วิ่งเข้าไปชกผู้เสียหายสองครั้ง ครั้งหนึ่งถูกผู้เสียหายที่บริเวณหน้าอก ส่วนอีกครั้งหนึ่งไม่ถูก ผู้เสียหายลุกขึ้นจับเก้าอี้ยกขึ้นจะตีจำเลย จำเลยจึงรีบวิ่งหนีกลับไปที่บ้านภริยาจำเลย จำเลยไม่ทราบว่าผู้เสียหายถูกแทงในคืนเกิดเหตุ เห็นได้ว่า จำเลยไม่ได้ให้การชั้นสอบสวนว่าจำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหาย และมิได้อ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกัน ทั้งการกระทำของจำเลยในคืนเกิดเหตุตามคำให้การและคำเบิกความดังกล่าวมาก็แตกต่างกันไป ไม่อยู่กับร่องกับรอย ทำให้ไม่น่าเชื่อตามที่โจทก์นำสืบมาข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หลังจากจำเลยกับผู้เสียหายเลิกทะเลาะและกอดปล้ำต่อสู้กันแล้ว นายปัญญาพาจำเลยไปส่งบ้านและผู้เสียหายเข้าไปนั่งเก้าอี้ในเต็นท์ที่เล่นการพนัน ต่อมาอีกนานประมาณ 10-30 นาที จำเลยได้กลับเข้ามาในเต็นท์ทางด้านหลังข้างซ้ายผู้เสียหาย แล้วใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหาย การที่จำเลยลอบเข้ามาใช้อาวุธแทงผู้เสียหายเช่นนี้มิใช่กระทำเพื่อป้องกันสิทธิของจำเลยหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแต่อย่างใด ไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายดังที่จำเลยฎีกา…”
พิพากษายืน.

Share