คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6844/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 มิได้บัญญัติว่า คำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยสามารถทำได้ฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องสอบถามโจทก์ว่าจะคัดค้านหรือไม่ดังนั้น ศาลชั้นต้นจะต้องปฏิบัติตามมาตรา 21(2) คือต้องให้โอกาสโจทก์คัดค้านโดยการสอบถามโจทก์ว่าจะคัดค้านหรือไม่ถ้าโจทก์ไม่คัดค้านก็อาจมีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การโดยไม่ต้องทำการไต่สวน แต่ถ้าโจทก์คัดค้านย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่จะทำการไต่สวนก่อนมีคำสั่งหรือไม่ก็ได้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 ประกอบด้วยมาตรา 21(4) มิได้บังคับว่ากรณีนี้ศาลจะต้องทำการไต่สวนก่อนมีคำสั่งเสมอไป การไต่สวนก็เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงตามที่มาตรา 199 บัญญัติไว้ 2 ประการ คือ การขาดนัดของจำเลยเป็นไปโดยมิได้จงใจหรือไม่ หรือมีเหตุอันสมควรประการอื่นที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การหรือไม่ ทั้งสองกรณีเป็นคนละเหตุ ดังที่กฎหมายใช้คำว่าหรือ และคำว่าประการอื่น จำเลยอ้างในคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การว่า จำเลยไม่รู้ว่าถูกฟ้องซึ่งถือเป็นข้ออ้างว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดนอกจากนี้จำเลยยังบรรยายคำร้องในตอนท้ายว่า หากจำเลยรู้ว่า ถูกฟ้องจะต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดีและจำเลยจะต้องชนะคดี เพราะที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย พร้อมกับแนบสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินมาท้ายคำให้การของจำเลยแสดงให้เห็นเป็นหลักฐานว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้จำเลย มิใช่โจทก์มอบที่ดินพิพาทให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยดังที่โจทก์ฟ้องข้ออ้างของจำเลยในประการหลังนี้ถือได้ว่าจำเลยได้ยกเหตุอันสมควรประการอื่นที่อาจอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การได้ขึ้นเป็นข้ออ้างอีกเหตุหนึ่งแล้ว ดังนี้ หากการไต่สวนไม่ได้ความชัดว่าจำเลยจงใจขาดนัด ศาลก็ยังจะต้องพิจารณาถึงเหตุอันสมควรประการอื่นดังกล่าวว่าจะสมควรอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การหรือไม่ หากไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยจงใจฝ่าฝืนไม่ยื่นคำให้การในกำหนดโดยเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลอาจถือว่ามีเหตุอันสมควรประการอื่นที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การโดยจำเลยมีหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นหลักฐานซึ่งมีมูลว่าจำเลยอาจจะชนะคดี ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การโดยมิได้สอบถามโจทก์และไม่ได้ทำการไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยเป็นการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรที่จะต้องให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยและพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ ข้อที่ปรากฏในรายงานการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องว่าจำเลยไปธุระนอกบ้าน แต่จำเลยบรรยายคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การว่าจำเลยไปทำงานที่กรุงเทพมหานครซึ่งขัดกันเพียงเท่านี้ยังไม่อาจถือเป็นยุติว่าจำเลยจงใจขาดนัดโดยไม่ต้องทำการไต่สวน เพราะจำเลยฎีกาว่าไปธุระนอกบ้านกับไปทำงานที่กรุงเทพมหานครมีความหมายอย่างเดียวกันนอกจากนี้ข้อแตกต่างดังกล่าวอาจเป็นเพียงรายละเอียดซึ่งไม่ใช่ข้อสำคัญ สมควรที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงจากการไต่สวนเสียก่อน ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า เป็นเรื่องที่โจทก์ขายที่ดินพิพาทให้จำเลย ไม่ใช่โจทก์กู้เงินจำเลยแล้วมอบที่ดินพิพาทให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงและคดีนี้ต้องห้ามฎีกาเพราะจำนวนทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทและยังไม่ถึงเวลาที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยจึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนนี้ให้แก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ 10 ปี มาแล้ว โจทก์กู้ยืมเงินจำเลย 6,600 บาท โดยไม่ได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน โจทก์มอบที่ดิน น.ส.3 ก. ของโจทก์ให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย พร้อมกับมอบหนังสือ น.ส.3 ก. ให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกัน ตกลงกันด้วยวาจาว่าโจทก์มีเงินเมื่อใดให้ไถ่ถอนเอาคืนได้โจทก์เคยขอไถ่ถอนแต่จำเลยบ่ายเบี่ยง ต่อมาวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2536 โจทก์นำเงิน 6,600 บาท ไปวางศาลเพื่อชำระหนี้แก่จำเลย แต่จำเลยไม่ยอมคืนที่ดินและหนังสือ น.ส.3 ก. แก่โจทก์ ขอให้บังคับและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดิน ให้จำเลยส่งมอบหนังสือ น.ส.3 ก.ของโจทก์ให้แก่โจทก์
จำเลยไม่ยื่นคำให้การในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ก่อนลงมือสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การอ้างว่าเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องไม่จงใจขาดนัด พร้อมกับยื่นคำให้การมีข้อความว่า ความจริงไม่ใช่เรื่องกู้ยืมเงินแล้วมอบที่ดินให้ทำกินต่างดอกเบี้ยดังที่โจทก์ฟ้อง แต่โจทก์ได้ตกลงขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยโดยทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันเอง ดังปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายแนบท้ายคำให้การจำเลยชำระราคาครบถ้วนและโจทก์มอบที่ดินพร้อมหนังสือ น.ส.3 ก.ให้แก่จำเลยตั้งแต่ปี 2521 อันเป็นปีที่ทำสัญญาซื้อขายกัน จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินอย่างเป็นเจ้าของตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมาเมื่อปี 2536 โจทก์ขอซื้อที่ดินคืนแต่จำเลยไม่ยินยอม โจทก์ไม่ฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่โจทก์วางทรัพย์ ซึ่งถือว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์และแย่งการครอบครองที่ดินจากโจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยว่าฟังไม่ได้ว่าจำเลยไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ให้ยกคำร้อง และสั่งคำให้การของจำเลยว่า จำเลยยื่นคำให้การเกินกำหนด จึงไม่รับคำให้การของจำเลย
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และตัวจำเลยซึ่งอ้างตนเองเข้าเบิกความ โดยศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่รับหนังสือสัญญาซื้อขายที่จำเลยขออ้างเป็นพยานหลักฐาน แล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและส่งมอบที่ดินพร้อมหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2360 แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่า ศาลชั้นต้นจะต้องทำการไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยก่อนมีคำสั่งหรือไม่ ปรากฏว่าจำเลยไม่ยื่นคำให้การในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแต่ก่อนลงมือสืบพยานโจทก์ปรากฏว่าจำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโดยไม่ได้สอบถามโจทก์ว่าจะคัดค้านหรือไม่ และไม่ได้ทำการไต่สวนก่อนมีคำสั่ง กรณีนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 มิได้บัญญัติว่าคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยสามารถทำได้ฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องสอบถามโจทก์ว่าจะคัดค้านหรือไม่ ดังนั้นศาลชั้นต้นจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(2)คือต้องให้โอกาสโจทก์คัดค้านโดยการสอบถามโจทก์ว่าจะคัดค้านหรือไม่ ถ้าโจทก์ไม่คัดค้านก็อาจมีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การโดยไม่ต้องทำการไต่สวน แต่ถ้าโจทก์คัดค้านย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่จะทำการไต่สวนก่อนมีคำสั่งหรือไม่ก็ได้เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199ประกอบด้วยมาตรา 21(4) มิได้บังคับว่ากรณีนี้ศาลจะต้องทำการไต่สวนก่อนมีคำสั่งเสมอไป การไต่สวนก็เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199บัญญัติไว้ 2 ประการ คือ การขาดนัดของจำเลยเป็นไปโดยมิได้จงใจหรือไม่ หรือมีเหตุอันสมควรประการอื่นที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การหรือไม่ ทั้งสองกรณีเป็นคนละเหตุดังที่กฎหมายใช้คำว่าหรือและคำว่าประการอื่น แสดงว่าไม่ใช่เหตุเดียวกันจำเลยอ้างในคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การว่าจำเลยไม่รู้ว่าถูกฟ้องซึ่งถือเป็นข้ออ้างว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัด นอกจากนี้จำเลยยังบรรยายคำร้องในตอนท้ายว่า หากจำเลยรู้ว่าถูกฟ้องจะต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดีและจำเลยจะต้องชนะคดีเพราะที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย พร้อมกันนี้จำเลยได้แนบสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินมาท้ายคำให้การของจำเลยแสดงให้เห็นเป็นหลักฐานว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้จำเลย มิใช่โจทก์มอบที่ดินพิพาทให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยดังที่โจทก์ฟ้อง ข้ออ้างของจำเลยในประการหลังนี้ถือได้ว่าจำเลยได้ยกเหตุอันสมควรประการอื่นที่อาจอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การได้ขึ้นเป็นข้ออ้างอีกเหตุหนึ่ง ดังนี้หากการไต่สวนไม่ได้ความชัดว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัด ศาลก็ยังจะต้องพิจารณาถึงเหตุอันสมควรประการอื่นดังกล่าวว่าจะสมควรอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การหรือไม่ หากไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยจงใจฝ่าฝืนไม่ยื่นคำให้การในกำหนดโดยเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลอาจถือว่ามีเหตุอันสมควรประการอื่นที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การโดยจำเลยมีหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นหลักฐานซึ่งมีมูลว่าจำเลยอาจจะชนะคดี แต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การโดยมิได้สอบถามโจทก์และไม่ได้ทำการไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยทั้งได้อ้างข้อเท็จจริงบางประการที่ไม่มีปรากฏในสำนวน เป็นการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2), 247 ศาลฎีกาเห็นสมควรที่จะต้องให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยและพิจารณาพิพากษาคดีใหม่
ส่วนข้อที่ปรากฏในรายงานการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องว่าจำเลยไปธุระนอกบ้าน แต่จำเลยบรรยายคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การว่าจำเลยไปทำงานที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งขัดกันเพียงเท่านี้ยังไม่อาจถือเป็นยุติว่าจำเลยจงใจขาดนัดโดยไม่ต้องทำการไต่สวน เพราะจำเลยฎีกาว่าไปธุระนอกบ้านกับไปทำงานที่กรุงเทพมหานครมีความหมายอย่างเดียวกัน นอกจากนี้ข้อแตกต่างดังกล่าวอาจเป็นเพียงรายละเอียดซึ่งไม่ใช่ข้อสำคัญ สมควรที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงจากการไต่สวนเสียก่อน สำหรับปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า เป็นเรื่องที่โจทก์ขายที่ดินพิพาทให้จำเลย ไม่ใช่โจทก์กู้เงินจำเลยแล้วมอบที่ดินพิพาทให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาเพราะจำนวนทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทประกอบกับเมื่อผลคดีเป็นเช่นนี้แล้วก็ยังไม่ถึงเวลาที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัย และต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนนี้ให้แก่จำเลย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 และยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยฉบับลงวันที่2 ธันวาคม 2537 ตามนัยดังที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้วมีคำสั่งและพิจารณาพิพากษาใหม่ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยโดยเรียกไว้ 200 บาท ส่วนที่เกินจากนี้ให้คืนแก่จำเลย

Share