คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3866/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเลิกจ้างโจทก์ก่อนที่ พ.ร.บ.พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พ.ศ. 2534 จะมีผลใช้บังคับ สิทธิและหน้าที่ที่จะพึงมีตามกฎหมายในการเลิกจ้างโจทก์รวมทั้งการดำเนินการตามสิทธิที่จะเกิดขึ้นจากการเลิกจ้างจึงต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการเลิกจ้าง จะนำ พ.ร.บ.พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พ.ศ. 2534 มาใช้บังคับแก่กรณีของโจทก์ไม่ได้ เมื่อสิทธิต่าง ๆ ที่โจทก์เรียกร้องนั้น ตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเลิกจ้างไม่มีบทบัญญัติให้โจทก์จะต้องร้องทุกข์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดไว้แต่อย่างใด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลแรงงานได้โดยไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนหรือวิธีการอย่างใดก่อน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายทำงานในตำแหน่งพนักงานธุรการ 2 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ3,670 บาท กำหนดจ่ายทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างเหตุว่าโจทก์ร่วมกันลักลอบนำสุราขาวออกนอกโรงงานสุราอยุธยาโดยเป็นตัวกลางในการรับซื้อน้ำสุราที่ลักลอบนำออกจากโรงงานซึ่งไม่เป็นความจริง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในอัตราค่าจ้างเดิมพร้อมสวัสดิการและนับอายุงานต่อเนื่อง และให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 3,670 บาท นับแต่วันที่จำเลยเลิกจ้างจนกว่าจำเลยจะรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิมและถ้าจำเลยไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ ขอให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 40,000 บาท ค่าชดเชยเป็นเงิน 22,020 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน5,260 บาท เงินบำเหน็จเป็นเงิน 36,000 บาท ค่าเสียหายในระหว่างพักงานเท่ากับค่าจ้างเป็นเงิน 44,040 บาท และให้จำเลยจ่ายเงินโบนัสกรณีปกติเป็นเงิน 55,050 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้รับเงินเดือนสุดท้ายเดือนละ 3,360 บาทมิใช่เดือนละ 3,670 บาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลแรงงานกลางเพราะโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องโดยไม่ดำเนินการให้ถูกต้อง คือ ตามพระราชบัญญัติ พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 มาตรา 18การที่โจทก์ถูกเลิกจ้างเพราะโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงโดยทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง และจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินบำเหน็จ เงินโบนัสค่าเสียหายในระหว่างพักงาน ตลอดจนเงินอื่น ๆ ตามที่โจทก์ฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 3,360 บาท โจทก์มีอำนาจฟ้อง ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ร่วมกับพวกลักลอบนำสุราขาวออกจากโรงงานของจำเลยหรือเป็นตัวการในการรับซื้อและนำสุราขาวของจำเลยไปจำหน่ายเป็นประโยชน์ส่วนตนและพวก การเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นธรรม พิพากษาให้จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับขณะที่เลิกจ้างพร้อมสวัสดิการเดิม โดยให้นับอายุงานต่อเนื่อง และให้จำเลยชำระค่าจ้างในระหว่างที่จำเลยสั่งพักงานโจทก์จนถึงเวลาที่จำเลยเลิกจ้างจำนวน 40,208 บาท และเงินโบนัส จำนวน 26,880 บาท คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “กรณีของโจทก์นั้นข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลแรงงานกลางฟังมาว่า จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 16กุมภาพันธ์ 2533 ก่อนที่พระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พ.ศ. 2534 จะมีผลใช้บังคับ ดังนั้น สิทธิและหน้าที่ที่จะพึงมีตามกฎหมายในการเลิกจ้างโจทก์รวมทั้งการดำเนินการตามสิทธิที่จะเกิดขึ้นจากการเลิกจ้างดังกล่าวนั้น จะต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการเลิกจ้าง จะนำพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 มาใช้บังคับแก่กรณีของโจทก์ไม่ได้ในกรณีของโจทก์สิทธิต่าง ๆ ที่เรียกร้องมาตามคำฟ้องนั้น กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นไม่มีบทบัญญัติให้โจทก์จะต้องร้องทุกข์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดไว้แต่อย่างใด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลแรงงานกลางได้โดยไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนหรือวิธีการอย่างใดก่อน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลของคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share