คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15067/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอค่าอุปการะเลี้ยงดูหลังหย่าซึ่งที่ถูกคือค่าเลี้ยงชีพนั้นจะต้องเป็นกรณีหย่าโดยคำพิพากษาของศาล และคดีต้องฟังได้ว่า เหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจึงจะกำหนดค่าเลี้ยงชีพให้ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1526 แต่คดีนี้โจทก์และจำเลยตกลงหย่ากันในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่ากัน จึงไม่มีเหตุที่จะให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงชีพให้แก่โจทก์ตามบทบัญญัติดังกล่าว
ข้อตกลงตามรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานนอกจากเรื่องหย่าแล้วยังมีเรื่องทรัพย์สินรวมทั้งเงินที่จำเลยตกลงแบ่งให้แก่โจทก์ โดยในขณะที่ตกลงกันนั้นโจทก์และจำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนหย่ากัน ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากัน จำเลยย่อมบอกล้างสัญญาดังกล่าวได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1469 อันเป็นผลให้ข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยสิ้นความผูกพัน โจทก์ไม่อาจบังคับให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินรวมทั้งเงินได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีและภริยากัน ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 9,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยผิดนัดจำนวน 735,000 บาท แก่โจทก์ และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น ให้จำเลยชำระเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์ 1 ปี นับแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2548 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 3,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น ให้จำเลยชำระเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์เป็นงวดรายเดือน เดือนละ 300,000 บาท โดยเริ่มชำระงวดแรกภายในวันที่ 1 ของเดือนถัดจากที่คดีนี้ถึงที่สุดและงวดต่อไปชำระทุกวันที่ 1 ของทุก ๆ เดือนถัดไปจนกว่าจะครบกำหนดระยะเวลา 10 ปีเป็นเงินจำนวน 36,000,000 บาท
จำเลยยื่นคำให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์และจำเลยตกลงหย่ากันตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2550
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 1,940,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2549 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่สามีหรือภริยาต้องรับผิดต่ออีกฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/38 ซึ่งบัญญัติว่า “ค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างสามีภริยา…ย่อมเรียกจากกันได้ในเมื่อฝ่ายที่ควรได้รับอุปการะเลี้ยงดูไม่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูหรือได้รับการอุปการะเลี้ยงดูไม่เพียงพอแก่อัตภาพ ค่าอุปการะเลี้ยงดูนี้ศาลอาจให้เพียงใดหรือไม่ให้ก็ได้ โดยคำนึงถึงความสามารถของผู้มีหน้าที่ต้องให้ ฐานะของผู้รับ และพฤติการณ์แห่งกรณี” ข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของโจทก์และจำเลยได้ความว่า หลังจากโจทก์จดทะเบียนอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยแล้วโจทก์ไม่ได้ประกอบอาชีพใดนอกจากช่วยทำงานในคลินิกของจำเลย โจทก์จึงควรได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลย ในข้อนี้จำเลยรับว่าให้เงินโจทก์เดือนละ 40,000 บาท และให้เป็นรายวันอีกวันละ 4,000 บาท เมื่อจำเลยมีความสามารถที่จะให้เงินดังกล่าวแก่โจทก์ในระหว่างที่ยังไม่ได้หย่ากัน และโจทก์ขอค่าอุปการะเลี้ยงดูมาตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2548 อันเป็นวันหลังจากโจทก์และจำเลยตกลงจะหย่ากันตามรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานจนถึงวันฟ้อง โดยขอคิดเพียง 1 ปี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์มานั้นจึงเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งกรณีแล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาข้อสองว่า โจทก์มีรายได้จากการเป็นหุ้นส่วนกับน้องชายโจทก์ในคลินิกแพทย์ชญานินทร์ และโจทก์เบิกความรับว่าขณะเบิกความโจทก์รับจ้างทำงานที่คลินิกดังกล่าวมีรายได้เดือนละ 8,000 บาท ประกอบกับโจทก์อายุยังน้อยสามารถประกอบการงานได้ตามปกติ ทั้งโจทก์ยังมีทรัพย์สินและรายได้พอเลี้ยงตนเองได้นั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ขาดไร้อุปการะย่อมต้องดิ้นรนขวนขวายเพื่อให้มีรายได้ในการยังชีพ มิใช่เหตุที่จำเลยจะยกขึ้นอ้างเพื่อให้ตนพ้นความรับผิด ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้บังคับจำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์เดือนละ 44,000 บาท นับแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2549 ไปจนกว่าโจทก์และจำเลยจะจดทะเบียนหย่ากันนั้น ในข้อนี้ตามคำฟ้องของโจทก์แยกเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูก่อนหย่า โดยในส่วนนี้โจทก์ขอให้จำเลยชำระเป็นเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2548 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 6 กำหนดให้ 1,940,000 บาท โจทก์จะขอให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูต่อไปอีกตามฎีกาของโจทก์อันเกินไปจากคำขอตามคำฟ้องของโจทก์หาได้ไม่ ส่วนที่โจทก์ขอค่าอุปการะเลี้ยงดูหลังหย่า ซึ่งที่ถูกคือค่าเลี้ยงชีพนั้นจะต้องเป็นกรณีหย่าโดยคำพิพากษาของศาล และคดีต้องฟังได้ว่าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจึงจะกำหนดค่าเลี้ยงชีพให้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526 แต่คดีนี้โจทก์และจำเลยตกลงหย่ากันในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่ากันจึงไม่มีเหตุที่จะให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงชีพให้แก่โจทก์ตามบทกฎหมายดังกล่าวได้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในประการต่อมาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่าข้อตกลงตามรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน เป็นสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากัน ซึ่งจำเลยมีสิทธิบอกล้างสัญญาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469 หรือไม่ เห็นว่า ข้อตกลงตามเอกสารดังกล่าว นอกจากเรื่องหย่าแล้วยังมีเรื่องทรัพย์สินรวมทั้งเงินที่จำเลยตกลงแบ่งให้แก่โจทก์โดยในขณะที่ตกลงกันนั้นโจทก์และจำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนหย่ากัน ข้อตกลงในเรื่องหลังนี้จึงเป็นสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากัน จำเลยย่อมบอกล้างสัญญาดังกล่าวได้ตามบทกฎหมายข้างต้น อันเป็นผลให้ข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยสิ้นความผูกพัน โจทก์ไม่อาจบังคับให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินรวมทั้งเงินตามคำฟ้องและคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ได้ ดังนี้แม้โจทก์จะฎีกาว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ทั้ง 2 ฉบับ โดยเห็นว่าโจทก์ไม่อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่มีคำสั่งเป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์เป็นการขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินให้โจทก์ ซึ่งไม่อาจบังคับจำเลยได้ดังเหตุผลที่วินิจฉัยมาแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์และจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share