คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2658/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตารางกรมธรรม์ประกันภัยระบุการคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ว่าในกรณีรถยนต์สูญหายอันเกิดจากการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ จำเลยร่วมซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มตามจำนวนเงินจำกัดความรับผิดตามสัญญาในรายการของตาราง เมื่อได้ความว่ารถยนต์พิพาทถูก ภ. ภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสของน้องชายจำเลยที่ 1 ลักไปโดยจำเลยที่ 1 มิได้มีส่วนรู้เห็นด้วย แม้จำเลยที่ 1 จะทราบว่าภ. นำรถยนต์พิพาทไปจำนำไว้ที่บ่อนย่านคลองตัน แต่เมื่อจำเลยที่ 1ไม่สามารถนำรถยนต์คันพิพาทกลับคืนมาได้ย่อมถือได้ว่ารถยนต์คันพิพาทได้สูญหายไปโดยเหตุอันเนื่องจากการลักทรัพย์ตามข้อกำหนดของกรมธรรม์ประกันภัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์คันพิพาทคืนโจทก์หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 340,000 บาทและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 91,000 บาท กับค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 13,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คันพิพาทคืนพร้อมเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 2ต่อเดือน ของต้นเงิน 431,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ระหว่างพิจารณาคดี จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม เพราะจำเลยที่ 1 อาจฟ้องเพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือใช้ค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต

จำเลยร่วมให้การ ขอให้ยกฟ้องและยกคำร้องของจำเลยที่ 1

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 273,753 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2539 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ก็ให้จำเลยร่วมเป็นผู้ชำระแทน

จำเลยร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว จำเลยร่วมฎีกาว่า รถยนต์คันพิพาทไม่ได้สูญหาย เนื่องจากนางภัทรวีร์ บุญนาค ภริยาของนายวัชรชัยอึ๊งโพธิ์ นำไปจำนำไว้ที่บ่อนการพนัน จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย สำหรับปัญหาดังกล่าว นายวัชรชัย อึ๊งโพธิ์ น้องจำเลยที่ 1 เบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 1 ว่าพยานดูแลและใช้สอยรถยนต์คันพิพาทในช่วงเวลาที่จำเลยที่ 1 เดินทางไปต่างประเทศเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2538 ขณะที่พยานพักอยู่กับนางภัทรวีร์บุญนาค ภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ปรากฏว่ารถยนต์คันพิพาทได้สูญหายไปพร้อมกุญแจพยานได้ไปร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า นางภัทรวีร์เป็นผู้ลักรถยนต์ตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ล.2 นายทวีศักดิ์ พงษ์พิเดช พนักงานติดตามรถยนต์ของจำเลยร่วมเบิกความเจือสมพยานจำเลยที่ 1 ว่า เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2538 พยานได้รับแจ้งจากนายวัชรชัยว่า นางภัทรวีร์ภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสของนายวัชรชัยได้ลักรถยนต์ของจำเลยที่ 1ซึ่งนายวัชรชัยรับดูแลรักษาไปและนำไปจำนำไว้ที่บ่อนการพนัน พยานได้บันทึกถ้อยคำของนายวัชรชัยไว้ตามเอกสารหมาย ล.7 ต่อมาพยานติดตามไปที่บ่อนการพนันพบว่า รถยนต์คันพิพาทจำนำไว้ที่บ่อนการพนันจริงซึ่งเอกสารหมาย ล.7 เป็นบันทึกที่นายวัชรชัยให้ถ้อยคำไว้ต่อจำเลยร่วมมีใจความว่า ในระหว่างที่นายวัชรชัยรับดูแลรักษารถยนต์ของจำเลยที่ 1 ปรากฏว่านางภัทรวีร์ภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสของนายวัชรชัยได้ลักรถยนต์คันพิพาทไปจำนำที่บ่อนคลองตันและนำเงินไปเล่นการพนันจนหมดจากคำของพยานดังกล่าวประกอบบันทึกตามเอกสารหมาย ล.7 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นางภัทรวีร์ได้ลักรถยนต์คันพิพาทไปจำนำที่บ่อนการพนัน โดยจำเลยที่ 1 และนายวัชรชัยมิได้มีส่วนรู้เห็นด้วย มีปัญหาว่าจำเลยร่วมต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามตารางกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย ล.1 ระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทโดยมีโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ในสัญญาหมวดที่ 3 การคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ระบุไว้ในข้อ 3.5.3 ว่าในกรณีรถยนต์สูญหายอันเกิดจากการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ จำเลยร่วมจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มตามจำนวนเงินจำกัดความรับผิดตามสัญญาข้อ 3.1 ในรายการ 4 ของตาราง เมื่อได้ความว่ารถยนต์คันพิพาทถูกนางภัทรวีร์ลักไปโดยจำเลยที่ 1 มิได้มีส่วนรู้เห็นด้วยแม้จำเลยที่ 1จะทราบว่านางภัทรวีร์นำรถยนต์คันพิพาทไปจำนำไว้ที่บ่อนย่านคลองตัน แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่สามารถนำรถยนต์คันพิพาทกลับคืนมาได้ ย่อมถือได้ว่ารถยนต์คันพิพาทได้สูญหายไปโดยเหตุอันเนื่องจากการลักทรัพย์ตามข้อกำหนดของกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระจึงชอบแล้วฎีกาของจำเลยร่วมในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”

พิพากษายืน

Share