คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2660/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายจ้างจ่ายเงินค่าเบี้ยกันดารและค่าเช่าที่พักให้โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างเมื่อโจทก์ต้องไปทำงานในต่างจังหวัด หากโจทก์กลับเข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานครแล้วจำเลยที่ 1 ไม่จ่ายให้ แสดงว่าจำเลยที่ 1 จ่ายเงินทั้งสองประเภทให้แก่โจทก์เป็นสวัสดิการ ไม่ใช่จ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ เงินค่าเบี้ยกันดารและค่าเช่าที่พักจึงไม่เป็นค่าจ้าง
โจทก์แจ้งความประสงค์ให้จำเลยที่ 1 แบ่งจ่ายค่าจ้างเดือนละ 2 ครั้ง ในวันที่ 15 และวันสิ้นเดือนของทุกเดือน จำเลยที่ 1 ตกลง เกิดเป็นข้อตกลงส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างในการจ่ายค่าจ้างให้เป็นไปตามกำหนดนั้น สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่มีกำหนดระยะเวลาจำเลยที่ 1 บอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์วันที่ 29 กรกฎาคม 2547 เป็นผลให้สัญญาจ้างเลิกกันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปคือวันที่ 15 สิงหาคม 2547 เมื่อจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ทันทีตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2547 โดยไม่ได้บอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้า จึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2547 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2547 รวม 18 วัน
แผนรางวัลอายุงานเป็นสภาพการจ้างที่ผูกพันจำเลยที่ 1 กับพนักงานที่รวมถึงโจทก์ด้วย ตามระเบียบแผนรางวัลอายุงานจำเลยที่ 1 มีสิทธิลดเงินรางวัลอายุงานลงได้เพื่อให้สอดคล้องเหมาะสมแก่ประโยชน์ที่โจทก์ได้รับจากแหล่งต่างๆ รวมทั้งการเลิกจ้างในทุกกรณี โดยไม่มีข้อยกเว้นกรณีการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เมื่อโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยอันเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องจ่ายเพราะการเลิกจ้าง จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธินำค่าชดเชยไปหักออกจากเงินรางวัลอายุงานที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 80,631,640 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถูกเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกจากสารบบความ
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 27,993 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 83,979 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชย 1,399,650 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 2,239,440 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกนั้นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้กระทำความผิดตามหนังสือเลิกจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยที่ 1 ต้องจ่ายค่าเสียหาย ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ โดยไม่นำค่าเบี้ยกันดาร ค่าเช่าบ้าน และเงินช่วยเหลือค่าดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน ซึ่งเป็นสวัสดิการไม่ใช่ค่าจ้างมารวมเป็นฐานคำนวณเงินประเภทต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ส่วนเงินรางวัลตามอายุงานโจทก์มีสิทธิได้รับ 1,119,720 บาท แต่ตามระเบียบเงินรางวัลอายุงานระบุให้สิทธิจำเลยที่ 1 หักเงินนี้ในกรณีที่มีการจ่ายเงินตามกฎหมาย แผนสวัสดิการอื่น… รวมทั้งในการเลิกจ้าง…ให้แก่พนักงาน โดยให้หักจำนวนเงินลงให้สอดคล้องเหมาะสมกับประโยชน์ต่างๆ ที่พนักงานได้รับจากแหล่งอื่นๆ เมื่อโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยถึง 1,399,650 บาท มากกว่าเงินรางวัลตามอายุงานแล้ว จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิหักเงินรางวัลตามอายุงานออกทั้งหมด ไม่เหลือจ่ายให้แก่โจทก์อีก และเมื่อโจทก์ถูกเลิกจ้างขณะมีอายุ 40 ปี ไม่ได้เกษียณอายุครบ 60 ปี โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามอายุงาน
โจทก์อุทธรณ์ข้อแรกว่า ค่าเบี้ยกันดารและค่าเช่าบ้านเป็นค่าจ้างต้องนำมารวมเป็นฐานคำนวณค่าชดเชย ค่าเสียหายกรณีเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ด้วยนั้น เห็นว่า เงินค่าเบี้ยกันดารและค่าเช่าบ้าน จำเลยที่ 1 มีระเบียบการจ่ายชัดเจนว่าประสงค์จะช่วยเหลือโจทก์ในด้านเงินค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับส่วนตัวและค่าเช่าที่พักเมื่อโจทก์ต้องไปทำงานในต่างจังหวัด หากโจทก์กลับเข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานครแล้ว จำเลยที่ 1 จะไม่จ่ายเงินทั้งสองประเภทนี้ให้แก่โจทก์ แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 จ่ายเงินทั้งสองประเภทให้แก่โจทก์เพื่อเป็นสวัสดิการเท่านั้น ไม่ได้จ่ายให้แก่โจทก์ด้วย วัตถุประสงค์เพื่อค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ เงินค่าเบี้ยกันดารและค่าเช่าบ้านจึงไม่เป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 ที่ศาลแรงงานกลางไม่นำเงินทั้งสองประเภทมารวมเป็นฐานคำนวณค่าชดเชย ค่าเสียหายที่เลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์อุทธรณ์ข้อสองว่า จำเลยที่ 1 จ้างโจทก์เป็นรายเดือน ไม่ใช่เป็นรายครึ่งเดือนทุกวันที่ 15 ของเดือนและทุกวันสิ้นเดือน กำหนดจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์จึงต้องจ่ายเป็นรายเดือนเป็นเงิน 181,955 บาท โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 181,955 บาท ไม่ใช่ 83,979 บาท ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง เห็นว่า แม้โจทก์เป็นลูกจ้างรายเดือน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 181,955 บาท แต่โจทก์ได้ยื่นความประสงค์ต่อจำเลยที่ 1 ให้แบ่งจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์เดือนละ 2 ครั้ง คือ ในวันที่ 15 และวันสิ้นเดือนของทุกเดือน ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ตกลงตามข้อเสนอของโจทก์ จึงเกิดเป็นข้อตกลงลักษณะหนึ่งของสัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ว่า การจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่โจทก์ต้องจ่ายตามกำหนดดังกล่าว เมื่อสัญญาจ้างไม่ได้กำหนดว่าสิ้นสุดเวลาใด จึงต้องถือว่าโจทก์เป็นบุคคลจ้างตามสัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา หากจำเลยที่ 1 ประสงค์เลิกจ้างโจทก์ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้โจทก์ทราบในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถึงคราวใด เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากัน เมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็ได้ แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเกินสามเดือน ตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 วรรคสอง ที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุบัญญัตินี้ ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีหนังสือบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2547 จึงเป็นผลให้สัญญาจ้างเลิกกันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปคือวันที่ 15 สิงหาคม 2547 เมื่อจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ทันทีตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2547 โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยที่ 1 จึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตั้งแต่วันดังกล่าวถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2547 รวม 18 วัน วันละ 4,665.50 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 83,979 บาท คำพิพากษาศาลแรงงานกลางส่วนนี้ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์อุทธรณ์ข้อสามว่า จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จึงไม่เข้าเงื่อนไขตามแผนรางวัลอายุงาน ไม่อาจนำระเบียบดังกล่าวมาใช้แก่กรณีของโจทก์ได้ การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 หักเงินค่าชดเชยออกจากเงินรางวัลอายุงานทั้งหมด ไม่เหลือจ่ายให้แก่โจทก์เป็นการไม่ชอบนั้น ปรากฏว่าแผนรางวัลอายุงาน ระบุว่า การหักเงินในกรณีที่มีการจ่ายเงินตามกฎหมาย หรือแผนสวัสดิการอื่น ในกรณีที่พนักงานได้รับหรือจะได้รับ หรือมีสิทธิได้รับประโยชน์ใดๆ จากแหล่งใดๆ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน…หน่วยราชการหรือองค์การเอกชนอื่นใด…เพื่อให้มีการจ่ายประโยชน์แก่พนักงาน…การเลิกจ้าง…บริษัทมีสิทธิที่จะลดผลประโยชน์ที่จะจ่ายตามแผนนี้ลงเพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมแก่ประชาชนต่างๆ ที่พนักงานได้รับจากแหล่งอื่นๆ นั้น เห็นว่า แผนดังกล่าวสภาพการจ้าง ที่ผูกพันจำเลยที่ 1 กับพนักงานรวมทั้งโจทก์ให้ต้องปฏิบัติตาม ระเบียบนี้มีความหมายว่าเงินรางวัลอายุงานที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มีสิทธิที่จะลดลงได้เพื่อให้สอดคล้องเหมาะสมแก่ประโยชน์ต่าง ๆ ที่โจทก์ได้รับจากแหล่งต่างๆ รวมทั้งจากการเลิกจ้างในทุกกรณี โดยไม่มีข้อยกเว้นกรณีการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามข้อกล่าวอ้างของโจทก์ ดังนั้น เมื่อโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยอันเป็นเงินที่จ่ายเพราะการเลิกจ้าง จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธินำค่าชดเชยไปหักออกจากเงินรางวัลอายุงานที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลยที่ 1 ปรากฏว่าค่าชดเชยมีจำนวนมากกว่าเงินรางวัลอายุงาน เมื่อหักกันแล้วจึงไม่มีเงินรางวัลอายุงานเหลืออยู่อีก คำพิพากษาศาลแรงงานกลางในส่วนนี้ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์อุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่า การจ่ายเงินแผนบำเหน็จบำนาญให้ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุของลูกจ้าง แต่ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ลูกจ้างทำงานกับจำเลยที่ 1 หากลูกจ้างทำงานกับจำเลยที่ 1 จนครบ 5 ปีขึ้นไป แม้อายุไม่ถึง 55 ปี หรือ 60 ปี ดังเช่นโจทก์ซึ่งถูกเลิกจ้างขณะมีอายุ 40 ปี และทำงานให้จำเลยที่ 1 มานาน 16 ปี โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับเงินแผนบำเหน็จบำนาญ เห็นว่า แผนบำเหน็จบำนาญ ระบุไว้ในข้อ 3 ว่าพนักงานจะครบกำหนดเกษียณอายุในวันแรกของเดือนถัดจากเดือนที่พนักงานผู้นั้นมีอายุครบ 60 ปี เว้นแต่พนักงานผู้นั้นและบริษัทจะตกลงกันให้เกษียณอายุก่อนครบกำหนดอายุ 60 ปี โดยทำหนังสือลงลายมือชื่อของทั้งสองฝ่ายไว้เป็นหลักฐาน และพนักงานผู้นั้นมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ ระบุในข้อ 6 ว่าพนักงานที่มีอายุครบ 50 ปี ขึ้นไป ขณะออกจากงานมีสิทธิขอให้แปลงเงินบำเหน็จและเงินอื่นใดที่พึงได้จากบริษัทบางส่วนหรือทั้งหมดเป็นเงินบำนาญได้ ข้อ 8.3กำหนดตารางคำนวณเงินบำนาญทุกประเภท โดยกำหนดอายุพนักงานขณะขอรับบำนาญขั้นต่ำสุด 50 ปี ขั้นสูงสุด 55 ปี จากข้อกำหนดดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าแผนบำเหน็จบำนาญ มีความประสงค์จะช่วยเหลือพนักงานที่เกษียณอายุ 60 ปี หรือที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี และขอเกษียณอายุก่อนครบกำหนด 60 ปี กับให้สิทธิแก่พนักงานที่มีอายุครบ 50 ปีขึ้นไป ขณะออกจากงานมีสิทธิขอให้แปลงเงินบำเหน็จและเงินอื่นใดที่พึงได้จากบริษัทบางส่วนหรือทั้งหมดเป็นเงินบำนาญได้ โจทก์ซึ่งมีอายุ 40 ปี ขณะถูกเลิกจ้างจึงไม่เข้าเงื่อนไขที่จะได้รับประโยชน์จากแผนบำเหน็จบำนาญฉบับนี้ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน

Share