แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ป.วิ.อ. มาตรา 182 วรรคสอง และวรรคสาม บัญญัติให้ศาลอ่านคำพิพากษาในศาลต่อหน้าคู่ความโดยเปิดเผย เมื่ออ่านแล้วให้คู่ความลงลายมือชื่อไว้ และมาตรา 2 (15) ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “คู่ความ”ไว้ว่าหมายถึงโจทก์ฝ่ายหนึ่งและจำเลยอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมาตรา 2 (3) บัญญัติคำว่า”จำเลย” หมายถึงบุคคลซึ่งถูกฟ้องยังศาลแล้ว โดยข้อหาว่าได้กระทำความผิดฉะนั้นทนายจำเลยจึงมิได้เป็นจำเลยหรือเป็นคู่ความตามความหมายดังกล่าวแต่อย่างใด เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีฟัง โดยมีล่ามแปลให้จำเลยเข้าใจผลแห่งคำพิพากษานั้น และให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้แล้วเช่นนี้ เป็นการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการอ่านคำพิพากษาโดยชอบแล้ว ส่วนการที่ศาลชั้นต้นมิได้แจ้งวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ทนายจำเลยทราบ จะขัดต่อระเบียบหรือวิธีปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ก็หาเป็นเหตุให้การอ่านคำพิพากษาที่ชอบด้วยกฎหมายกลับกลายเป็นไม่ชอบไม่
ย่อยาว
มูลกรณีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ โดยพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต
จำเลยยื่นคำร้อง ว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยไม่ได้ออกหมายนัดฟังคำพิพากษาให้ทนายจำเลยทราบ จำเลยเป็นชาวต่างชาติไม่เข้าใจภาษาไทยและขั้นตอนดำเนินการตามกฎหมาย ประกอบกับจำเลยต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำไม่สามารถติดต่อทนายจำเลย ทนายจำเลยเพิ่งมาทราบภายหลังพ้นกำหนดอายุความฎีกา เป็นเหตุให้จำเลยเสียสิทธิในการฎีกา เป็นการไม่ชอบขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาดังกล่าวและนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ใหม่โดยให้แจ้งวันนัดให้แก่ทนายจำเลยทราบด้วย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ทนายจำเลยไม่ใช่คู่ความประกอบทั้งศาลได้จัดล่ามให้จำเลยแล้ว จำเลยมีเวลาที่จะติดต่อกับทนายความเพื่อยื่นฎีกาหรือขอขยายเวลายื่นฎีกาได้ แต่จำเลยไม่สนใจเอง จึงไม่อนุญาต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๘๒ วรรคสอง และวรรคสาม บัญญัติให้ศาลอ่านคำพิพากษาในศาลต่อหน้าคู่ความโดยเปิดเผย เมื่ออ่านแล้วให้คู่ความลงลายมือชื่อไว้ และมาตรา ๒ (๑๕)ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “คู่ความ” ไว้ว่าหมายถึงโจทก์ฝ่ายหนึ่งและจำเลยอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมาตรา ๒ (๓) บัญญัติคำว่า “จำเลย” หมายถึงบุคคลซึ่งถูกฟ้องยังศาลแล้ว โดยข้อหาว่าได้กระทำความผิด ฉะนั้นทนายจำเลยจึงมิได้เป็นจำเลยหรือเป็นคู่ความตามความหมายดังกล่าวแต่อย่างใด เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีฟัง โดยมีล่ามแปลให้จำเลยเข้าใจผลแห่งคำพิพากษานั้น และให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้แล้วเช่นนี้เป็นการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการอ่านคำพิพากษาโดยชอบแล้ว จึงไม่มีเหตุเพิกถอนการอ่าน ส่วนการที่ศาลมิได้แจ้งวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ทนายจำเลยทราบจะขัดต่อระเบียบหรือวิธีปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ก็หาเป็นเหตุให้การอ่านคำพิพากษาที่ชอบด้วยกฎหมายกลับกลายเป็นไม่ชอบดังที่จำเลยอ้างอีกไม่
พิพากษายืน.