แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกลักทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปหลายครั้ง แต่ราคาทรัพย์รวมทั้งสิ้นเพียง 18,812 บาทและหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้ชดใช้เงินจำนวน 100,000 บาทแก่โจทก์ร่วม จนโจทก์ร่วมพอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญาแก่จำเลยที่ 1 แสดงว่าจำเลยที่ 1รู้สำนึกถึงความผิดที่ตนกระทำและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยต้องโทษจำคุก มาก่อน ทั้งประกอบอาชีพสุจริตมาโดยตลอด นิสัยและความประพฤติ โดยทั่วไปไม่ปรากฏข้อเสียหาย จึงสมควรรอการลงโทษและคุมความประพฤติจำเลยที่ 1 ไว้ เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเกินกว่า ราคาทรัพย์ที่ลักไปให้แก่โจทก์ร่วมแล้ว จึงไม่ชอบที่ ศาลล่างทั้งสองจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ดังกล่าวแก่โจทก์ร่วมอีกอันเป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 3 คน ซึ่งถูกฟ้องและให้การรับสารภาพไปแล้ว ได้ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน โดยจำเลยทั้งสองกับพวกซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทลานนา ฟู้ดส์ เซอร์วิส จำกัด ผู้เสียหาย ได้ร่วมกันลักเอากุ้งแช่แข็ง ปลาหมึกหอมกับเนื้ออกไก่จำนวนคิดเป็นเงินรวม18,812 บาท ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 83 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงินรวม 18,812 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 โดยให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่
ระหว่างพิจารณาบริษัทลานนา ฟู้ดส์ เซอร์วิส จำกัดผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7)(11) วรรคสามการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 4 ปีรวม 3 กระทง จำคุก 12 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 6 ปี ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 18,812 บาท แก่โจทก์ร่วม
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 1กระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง จำคุก 3 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้นเห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกลักทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปหลายครั้ง แต่ราคาทรัพย์รวมทั้งสิ้นเพียง 18,812 บาทและหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้ชดใช้เงินจำนวน 100,000 บาทแก่โจทก์ร่วม จนโจทก์ร่วมพอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญาแก่จำเลยที่ 1 อีกต่อไป ตามบันทึกการชดใช้ค่าเสียหายฉบับลงวันที่ 17 มิถุนายน 2540 อันแสดงว่าจำเลยที่ 1รู้สำนึกถึงความผิดที่ตนกระทำและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ทั้งตามรายงานการสืบเสาะและพินิจก็ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ประกอบอาชีพสุจริตมาโดยตลอด นิสัยและความประพฤติโดยทั่วไปไม่ปรากฏข้อเสียหาย การรอการลงโทษและคุมความประพฤติจำเลยที่ 1 ไว้น่าจะเหมาะสมกว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 โดยไม่รอการลงโทษนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น แต่เพื่อให้หลาบจำจึงให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 อีกสถานหนึ่ง
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 18,812 บาท แก่โจทก์ร่วมนั้น เมื่อปรากฏตามบันทึกการชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวและคำแถลงของนางกรกช วงศ์วรรณ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ร่วมตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 25 สิงหาคม 2540 ว่าจำเลยที่ 1 ได้ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 100,000 บาทซึ่งเกินกว่าราคาทรัพย์ที่ลักไปให้แก่โจทก์ร่วมแล้ว จึงไม่ชอบที่ศาลล่างทั้งสองจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ดังกล่าวแก่โจทก์ร่วมอีก อันเป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 อีกสถานหนึ่งโดยปรับกระทงละ 4,000 บาท รวม 3 กระทง เป็นเงิน 12,000 บาทลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงปรับ 6,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 คุมความประพฤติจำเลยที่ 1 ไว้ 2 ปี นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 1 ฟัง โดยให้จำเลยที่ 1 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด ให้จำเลยที่ 1 ละเว้นการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดทำนองเดียวกันนี้อีกกับให้จำเลยที่ 1 กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยที่ 1 เห็นสมควรกำหนดจำนวน 30 ชั่วโมง ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยที่ 1คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงินรวม 18,812 บาทแก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2