คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมกับพวกดื่มสุราที่ร้านของจำเลยจนมึนเมา แล้วสั่งสุราอีกภรรยาจำเลยบอกว่าสุราหมด โจทก์ร่วมได้ลุกขึ้นไปหยิบขวดสุราของจำเลยที่โต๊ะชงกาแฟ ภรรยาจำเลยเข้าแย่ง โจทก์ร่วมได้ทำร้ายภรรยาจำเลยพวกของโจทก์ร่วมได้บีบคอจำเลยจนหน้าแหงนอกแอ่น จำเลยควานไปพบเหล็กเปิดขวดแล้วเหวี่ยงไป 1 ทีในขณะชุลมุนกันอยู่ไปถูกนัยน์ตาโจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตาบอด การกระทำของจำเลยเช่นนี้เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุไม่เป็นความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้เหล็กสำหรับเปิดขวดเป็นอาวุธแทงทำร้ายร่างกายนายสว่างถูกที่นัยน์ตา จนตาบอดพิการไปตลอดชีวิต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ไม่เป็นป้องกันแต่จำเลยกระทำไปโดยบันดาลโทสะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 ให้จำคุก 1 ปี

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ร่วมกับพวกไปดื่มสุราที่ร้านของจำเลยนายอดุลย์พวกของโจทก์ร่วมสั่งสุราอีก แต่นางหงษ์ภรรยาจำเลยบอกว่าสุราหมด เกิดโต้เถียงกัน โจทก์ร่วมลุกไปหยิบขวดสุราของจำเลยที่วางที่โต๊ะชงกาแฟออกมา นางหงษ์ภรรยาจำเลยเข้าแย่ง โจทก์ร่วมทำร้ายร่างกายนางหงษ์ นายอดุลย์บีบคอจำเลยจนจำเลยหน้าแหงนอกแอ่น จำเลยใช้เหล็กเปิดขวดซึ่งบังเอิญควานไปพบในขณะนั้นเหวี่ยงไป 1 ที ในขณะที่ชุลมุนกันพอดีถูกนัยน์ตาโจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตาบอด การกระทำเช่นนี้เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 จำเลยไม่มีความผิด

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share