คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1083/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เหตุเพลิงใหม้ เกิดจากการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของพนักงานหรือคนงานของจำเลยที่ 1 ในขณะปฏิบัติงานตามหน้าที่ แม้พนักงานหรือคนงานผู้ทำละเมิดอยู่ในบังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพนักงานหรือคนงานดังกล่าวต่างปฏิบัติงานให้จำเลยที่ 1 ด้วยกัน จึงอยู่ในฐานะนายงานกับคนงานเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีส่วนผิดในการออกคำสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติงานจนเกิดความเสียหายขึ้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย
แม้ไม่ได้ความว่าผู้ทำละเมิดเป็นใคร แต่เมื่อฟังได้ว่าผู้ทำละเมิดเป็นพนักงานหรือคนงานของจำเลยที่ 1 ได้ทำละเมิดในขณะปฏิบัติการงานของจำเลยที่ 1 ตามหน้าที่ที่รับมอบหมาย พนักงานดังกล่าวถือได้ว่าเป็นผู้แทนอื่น ๆ ของจำเลยที่ 1 เมื่อก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าแก่ประชาชนทั้งเป็นการครอบครองทรัพย์อันตรายโดยสภาพ จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ตำแหน่งหัวหน้าเขตจำหน่ายบางกะปิ มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบกิจการและการปฏิบัติงานของสาขาเขตบางกระปิของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ตำแหน่งหัวหน้าเวรสาขาเดียวกัน มีหน้าที่ดูแลรักษา ควบคุมครอบครองตลอดจนรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ เวลา ๑๒.๓๐ นาฬิกา จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่อยู่ทำการตรวจตราตามหน้าที่ และเพราะจำเลยที่ ๑ ไม่มีอิฐทนไฟก่อเป็นกำแพงป้องกันไฟ เป็นเหตุให้เพลิงไหม้อาคารไม้ชั้นเดียวซึ่งเป็นที่เก็บวัสดุอุปกรณ์ของจำเลยที่ ๑ และปลูกอยู่ด้านหลังตึกแถวของโจทก์ทั้งสาม เพลิงได้ลุกลามไหม้ตึกแถวของโจทก์ทั้งสามตลอดจนทรัพย์สินในอาคารเสียหาย เป็นการละเมิดต่อโจทก์ในขณะที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นลูกจ้างและทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายเป็นเงิน ๑๕๗,๐๐๐ บาท ๑๓๑,๓๐๐ บาท และ๑๐๙,๓๐๐ บาท ตามลำดับ รวมค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสามเป็นเงิน ๓๙๗,๖๐๐ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๒๙,๘๒๐ บาท รวมเป็นเงิน ๔๒๗,๔๒๐ บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๓๙๗,๖๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ ๒และที่ ๓ ไม่มีหน้าที่ดังที่โจทก์ทั้งสามกล่าวอ้าง จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมบังคับบัญชาพนักงานของฝ่ายจำหน่ายที่ประจำอยู่เขตบางกะปิ เกี่ยวกับการรับคำขอใช้ไฟฟ้า การสำรวจสถานที่ใช้ไฟฟ้าและการติดตั้งไฟฟ้า มิได้มีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบพนักงานฝ่ายอื่นที่ประจำอยู่เขตบางกะปิ เพราะแต่ละฝ่ายมีหัวหน้าเขตประจำรับผิดชอบอยู่ และในวันเกิดเหตุเพลิงไหม้ตามฟ้อง จำเลยที่ ๒ ก็มิได้มาปฏิบัติงานแต่อย่างใด สำหรับจำเลยที่ ๓ ดำรงตำแหน่งช่างเทคนิคสายอากาศ ๕ หมวดประมาณการ เขตจำหน่ายบางกะปิ ฝ่ายจำหน่าย มีหน้าที่ทำการประมาณราคาค่าใช้จ่ายรวมทั้งออกสำรวจและทำแผนที่สถานที่ของผู้ขอใช้ไฟฟ้ากับคำนวณการใช้กระแสไฟฟ้า เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๓ ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าเวรแก้ไฟฟ้าขัดข้อง จึงได้มาปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานอื่น ๆ อีก ๑๓ คน และได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่อาคารเก็บเครื่องมือและวัสดุจริง แต่อยู่คนละอาคารกับที่จำเลยที่ ๓ ปฏิบัติงาน เพลิงเกิดลุกไหม้โดยไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใด จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มิได้เป็นผู้ก่อหรือประมาททำให้เกิดเพลิงไหม้ จึงมิต้องรับผิด จำเลยที่ ๑ ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงมิต้องรับผิดด้วยโจทก์ทั้งสามเสียหายไม่เกิน๓๐,๐๐๐ – ๕๐,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดด้วย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เหตุที่เกิดเพลิงไหม้คดีนี้เกิดจากพนักงานหรือคนงานคนใดคนหนึ่งของจำเลยที่ ๑ เข้าไปใช้ห้องเก็บของในอาคารที่เกิดเหตุในระหว่างปฏิบัติงานตามหน้าที่ แล้วทิ้งวัตถุติดไฟไว้โดยความประมาทเลินเล่อจึงเกิดไหม้ลุกลามออกไปจนไหม้ตึกแถวของโจทก์ จำเลยที่ ๒ เป็นหัวหน้าเขตจำหน่ายบางกะปิ และมีหน้าที่ควบคุมดูแลอาคารที่เกิดเพลิงไหม้อยู่ด้วย ส่วนจำเลยที่ ๓ เป็นหัวหน้าเวรแก้ไฟเสีย ซึ่งมาปฏิบัติงานในวันเกิดเหตุ และวินิจฉัยว่าแม้จำเลยที่ ๒ จะมีหน้าที่ควบคุมดูแลอาคารที่เกิดเพลิงไหม้ก็ตาม แต่ได้ความจากคำให้การชั้นสอบสวนของนายประสิทธิ์ว่า จำเลยที่ ๑เป็นผู้จัดให้มียามรักษาการณ์บริเวณการไฟฟ้านครหลวง เขตบางกะปิอยู่๓ จุด คือประตูใหญ่ด้านหน้า อาคารที่ว่าการ และคลังพัสดุ ไม่ได้ความจากพยานของฝ่ายใดเลยว่า จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ต้องจัดเวรยามดูแลอาคารที่เกิดเพลิงไหม้อีกชั้นหนึ่ง โดยเฉพาะวันเกิดเหตุก็เป็นวันหยุดงาน ซึ่งจำเลยที่ ๒ ก็อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า ตนไม่มีหน้าที่ต้องมาอยู่เวรยามหรือตรวจตราเจ้าหน้าที่และโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๒ ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนจำเลยที่ ๓ นั้น แม้จะได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าเวรแก้ไฟเสียในวันเกิดเหตุ ก็ได้ความว่ามีหน้าที่เพียงจัดเวรพนักงานออกไปตรวจแก้ไฟฟ้าขัดข้างนอกที่ทำการ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๓ มีหน้าที่ต้องควบคุมดูแลการใช้อาคารที่เกิดเพลิงไหม้ด้วย ทั้งการใช้อาคารดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่พนักงานของจำเลยที่ ๑ใช้กันเป็นประจำทั้งในวันเปิดทำการและวันหยุดดังที่ได้ความมาข้างต้นจึงถือได้ว่าการใช้อาคารที่เกิดเพลิงไหม้ในลักษณะดังกล่าวเป็นการใช้เพื่อปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายกันตามปกติเป็นประจำจึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๓ ประมาทเลินเล่อในส่วนที่เกี่ยวกับหน้าที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนเช่นกัน จำเลยที่ ๒ และที่ ๓จึงมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ และแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าผู้ทำละเมิดต่อโจทก์คือพนักงานหรือคนงานของจำเลยที่ ๑ กระทำโดยประมาทเลินเล่อในขณะปฏิบัติหน้าที่การงานของจำเลยที่ ๑ ดังวินิจฉัยมาแล้ว และแม้พนักงานหรือคนงานเหล่านี้อยู่ในบังคับบัญชาของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓แต่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และพนักงานหรือคนงานดังกล่าวต่างเป็นพนักงานหรือคนงานของจำเลยที่ ๑ และต่างปฏิบัติงานในหน้าที่ให้จำเลยที่ ๑ด้วยกัน จึงอยู่ในฐานะนายงานกับคนงาน เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒และที่ ๓ มีส่วนผิดในการออกคำสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติงานจนเกิดความเสียหายขึ้น จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่ตอ้งร่วมรับผิดด้วยส่วนจำเลยที่ ๑ นั้น แม้จะไม่ได้ความว่าผู้ทำละเมิดเป็นใคร แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ทำละเมิดเป็นพนักงานหรือคนงานของจำเลยที่ ๑ได้ทำละเมิดในขณะปฏิบัติการงานของจำเลยที่ ๑ ตามหน้าที่ที่รับมอบหมาย พนักงานหรือคนงานดังกล่าวถือได้ว่าเป็นผู้แทนอื่น ๆของจำเลยที่ ๑ เมื่อก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ก็ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๖ จำเลยที่ ๑ จะปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่ และฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายเป็นเงิน ๙๙,๑๕๐ บาท ๖๔,๐๐๐ บาท และ ๔๓,๕๐๐ บาทตามลำดับ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสามเป็นเงิน ๒๐๖,๖๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๑๐,๐๐๐ บาทค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ในชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share