คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 101/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยในปัญหานี้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาถือว่าไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ปรับอากาศยี่ห้อนิสสัน(ยูดี) หมายเลขทะเบียน 10-0032 เพชรบูรณ์ จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ประกอบกิจการเดินรถบรรทุกสินค้าทั่วราชอาณาจักร จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นผู้ร่วมประกอบการกับจำเลยที่ 1 ในการเดินรถบรรทุกสินค้าและเป็นเจ้าของรถบรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 70-0220 สุโขทัย (เดิมหมายเลขทะเบียน ส.ท. 02219) และได้นำรถมาร่วมประกอบการกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวของจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2523 เวลา 22 น. ขณะที่รถยนต์ปรับอากาศของโจทก์กำลังรอจะเลี้ยวจากถนนกำแพงเพชรเข้าสู่ถนนวิภาวดีรังสิตและมีรถบรรทุกหนึ่งคันจอดรอเลี้ยวอยู่ข้างหน้ามีรถยนต์บรรทุกสินค้าของจำเลยคันดังกล่าวซึ่งนายผินกาฝาก เป็นผู้ขับในทางการที่จ้างของจำเลย แล่นมาด้วยความเร็วและด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังพุ่งเข้าชนท้ายรถของโจทก์ และรถโจทก์ไหลไปชนท้ายรถยนต์บรรทุกของผู้อื่นซึ่งจอดรออยู่ข้างหน้า รถยนต์โจทก์เสียหายทั้งเครื่องยนต์ ตัวถัง และอุปกรณ์ต่างๆ ขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 426,730 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง นายผิน กาฝาก ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 3 มิได้ขับรถบรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 70-0220 สุโขทัย ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 3 หากแต่ได้ยืมรถของจำเลยที่ 3 ไปใช้ในธุรกิจของตนเอง เหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถยนต์ของโจทก์ โดยจอดรถอยู่ในลักษณะส่วนท้ายล้ำมาบนผิวจราจรและมิได้ให้สัญญาณไฟ ฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นเหตุให้นายผินมองไม่เห็นรถของโจทก์และขับรถชนส่วนท้ายรถโจทก์ ค่าซ่อมไม่เกิน 30,000 บาท ใช้เวลาซ่อมไม่เกิน 10 วัน เมื่อซ่อมเสร็จไม่ทำให้เสื่อมราคา ค่าลากจูงไปซ่อมไม่เกิน 500 บาท โจทก์จะขาดประโยชน์ไม่เกินวันละ 500 บาท และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง นายผิน กาฝาก มิได้เป็นลูกจ้างขับรถคันหมายเลขทะเบียน ส.ท. 02219 ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 3 แต่ขับรถไปใช้ในธุรกิจส่วนตัวเองจำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เหตุคดีนี้เกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่รถโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียว จำเลยที่ 4 ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ส.ท. 02219 ไว้จากจำเลยที่ 3 ในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท ผู้เอาประกันภัยประพฤติผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยในสาระสำคัญ คือ ปล่อยให้ผู้ขับขี่ขับรถที่เอาประกันโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ตามกฎหมายจำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 343,000 บาท แก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 4 รับผิดเพียงจำนวนเงิน 100,000 บาท และให้ร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 343,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 4 รับผิดในดอกเบี้ยของต้นเงินเพียง 100,000 บาท ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 4 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และเป็นเจ้าของรถยนต์ปรับอากาศคันหมายเลขทะเบียน 10-0032 เพชรบูรณ์ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด ประกอบกิจการรับจ้างบรรทุกสินค้า โดยจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 70-0220 สุโขทัย ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวมาร่วมประกอบกิจการกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่4 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการรับประกันภัย ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 70-0220 สุโขทัย ของจำเลยที่ 3 ในวงเงิน 100,000 บาท เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2523 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา นายผิน กาฝาก ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 3 ไปชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ขณะที่รถโจทก์รอเลี้ยวอยู่ในถนนกำแพงเพชรเพื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนนวิภาวดีรังสิต และรถโจทก์ไหลไปชนท้ายรถบรรทุกซึ่งจอดรอเลี้ยวอยู่ข้างหน้า เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย
…ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า ขณะรถชนกัน นายผิน กาฝาก คนขับรถคันหมายเลขทะเบียน 70-0220 สุโขทัย ได้ขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยคนใด ซึ่งนายจ้างคนนั้นจะต้องร่วมรับผิดต่อความเสียหายด้วย ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า ปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยที่ 4 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ทั้งปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยในปัญหานี้ให้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ถือว่าไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแต่ในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249
ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า จำเลยที่ 4 ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ทะเบียน ส.ท. 02219 เอกสารหมาย ป.จ. 7 และในข้อยกเว้นความรับผิดของจำเลยที่ 4 ต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก จำเลยที่ 4 ไม่ต้องรับผิดชอบหากผู้ขับขี่ขับขี่รถในขณะดื่มสุรายาเมาอันเป็นการเสี่ยงภัยเกินสมควรปกติธรรมดา เมื่อปรากฏว่านายผิน กาฝาก ดื่มสุราขับรถขณะเกิดเหตุ จึงถือว่าผู้เอาประกันภัยประพฤติผิดเงื่อนไขในข้อสาระสำคัญอันทำให้จำเลยที่ 4 หลุดพ้นจากความรับผิดนั้น เห็นว่า ในปัญหานี้จำเลยที่ 4 ให้การต่อสู้ว่า ผู้เอาประกันภัยได้ประพฤติผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยในข้อสาระสำคัญที่ว่า ปล่อยให้ผู้ขับขี่ขับรถที่เอาประกันภัยโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ตามกฎหมาย อันเป็นการผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยในข้อสาระสำคัญที่ก่อให้เกิดการเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น กรมธรรม์ประกันภัยจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ 4 ในข้อนี้จึงแตกต่างไปจากที่จำเลยที่ 4 เคยให้การต่อสู้คดีไว้ มิใช่เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์เป็นการชอบแล้วฎีกาของจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น’.
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 4 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์1,000 บาท.

Share