คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1007/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่1ได้ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งห้ากับพวกแล้วจำเลยที่1ได้มอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งห้ากับพวกเข้าครอบครองทำนาในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยสัญญาว่าจะโอนสิทธิทางทะเบียนให้ในภายหลังซึ่งขณะนั้นที่ดินพิพาทมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3)แล้วและต่อมาจำเลยที่1ได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทไว้กับจำเลยที่2จำเลยที่1ไม่ไถ่คืนภายในกำหนดโดยจำเลยที่2ไม่เคยเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทเลยทั้งซื้อฝากที่ดินพิพาทโดยไม่มีค่าตอบแทนและไม่สุจริตเป็นทางให้โจทก์ทั้งห้าซึ่งอยู่ในฐานะที่จะบังคับให้จำเลยที่1จดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้ตนได้อยู่ก่อนแล้วเสียเปรียบโจทก์ทั้งห้ามีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้ตามป.พ.พ.มาตรา1300และบังคับให้จำเลยที่1จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้ตนจำเลยที่2ไม่มีสิทธิฟ้องแย้งเอาคืนที่ดินพิพาทที่ตนได้มาโดยไม่มีค่าตอบแทนและไม่สุจริต.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2515 จำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาขายที่นาเนื้อที่ประมาณ 340 ไร่ให้โจทก์กับพวกรวม 5 คนจำเลยที่ 1 รับเงินไปครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญาและยินยอมให้โจทก์กับพวกรวม 5 คน เข้าครอบครองทำประโยชน์ได้ตั้งแต่วันทำสัญญาและจำเลยที่ 1 สัญญาจะโอนสิทธิทางทะเบียนให้โจทก์กับพวกรวม 5 คน เข้าครอบครองทำประโยชน์ได้ตั้งแต่วันทำสัญญาและจำเลยที่ 1 สัญญาจะโอนสิทธิทางทะเบียนให้โจทก์กับพวกภายในปี พ.ศ. 2515 โจทก์ทั้งห้าจึงเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่นาดังกล่าวโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ปรากฏว่าเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ 5 แปลง จำเลยที่ 1 ใช้กลฉ้อฉลนำที่ดินไปขายฝากให้กับจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 18 กรกรฎาคม 2517 ซึ่งเป็นการสมรู้ร่วมคิดจะไม่โอนที่ดินให้โจทก์ การทำนิติกรรมขายฝากจึงเป็นการโอนที่ดินอันเป็นทางเสียเปรียบแก่โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันให้จดทะเบียนสิทธิได้อยู่ก่อนจึงตกเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินตามฟ้องฉบับลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2517 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 บังคับให้จำเลยทั้งสองโอนสิทธิในที่ดินตามฟ้องให้โจทก์กับพวกโดยปลอดภาระติดพันใด ๆ ในที่ดินดังกล่าว หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทไปขายฝากให้จำเลยที่ 2 และมอบสิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทั้งหมดให้จำเลยที่ 2 ไป นับแต่วันจดทะเบียนขายฝากเมื่อครบกำหนดขายฝาก จำเลยที่ 1ไม่มีเงินไถ่ ที่ดินจึงตกเป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่เคยตกลงขายที่ดินให้โจทก์ ไม่รับรองว่าโจทก์เข้าครอบครองที่ดิน การแต่งตั้งตัวแทนมาทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือจึงเป็นโมฆะ ฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า นาพิพาทมี 5 แปลง มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและนำมาขายฝากกับจำเลยที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2517 ครบกำหนดจำเลยที่ 1 ไม่ไถ่คืน นาพิพาทจึงเป็นสิทธิของจำเลยที่ 2 ครอบครองตลอดมาตั้งแต่ พ.ศ. 2519จนถึงปัจจุบัน จำเลยที่ 2 ไม่รู้เห็นเป็นใจกระทำนิติกรรมขายฝากโดยกลฉ้อฉลกับจำเลยที่ 1 โจทก์มิได้ครอบครองที่นาพิพาท การกล่าวอ้างในฟ้องและฟ้องของโจทก์เป็นการละเมิดโต้แย้งสิทธิของจำเลยที่ 2 จึงฟ้องแย้งให้พิพากษาว่าที่นาพิพาท การกล่าวอ้างในฟ้องและฟ้องของโจทก์เป็นการละเมิดโต้แย้งสิทธิของจำเลยที่ 2 จึงฟ้องแย้งให้พิพากษาว่าที่นาพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 ผู้เดียว ห้ามโจทก์ทุกคนและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่นาพิพาท ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ส่งมอบที่นาพิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองทำกินตลอดเวลา จำเลยที่ 2 กับพวกไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้อง นิติกรรมขายฝากกระทำลงโดยรู้อยู่ว่าทำให้โจทก์เสียเปรียบจึงเป็นโมฆะ ฟ้องแย้งเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ห้ามมิให้โจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องรบกวนสิทธิของจำเลยที่ 2 ในที่พิพาท
โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินตามฟ้องรวม 5 แปลง ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เสียทั้งสิ้น ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายที่ดินทั้งห้าแปลงให้แก่โจทก์ทั้งห้าภายใน 7 วันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จากข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วดังกล่าว เห็นว่าสัญญาที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งห้ากับพวกตามเอกสารหมาย จ.3 นั้น เป็นสัญญาจะซื้อขาย การที่โจทก์ทั้งห้ากับพวกเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นการอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1โจทก์ทั้งห้าอ้างว่าได้ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตั้งแต่วันได้รับมอบการครอบครองจากจำเลยที่ 1 โดยใช้ทำนา แจ้งเสียภาษีบำรุงท้องที่และเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามเอกสารหมาย จ.10, จ.11 และ จ.13ไม่เคยเห็นมีการทำประกาศแจ้งว่าจะทำนิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาทไปปิดไว้ยังที่ดินพิพาทหรือที่ทำการกำนันผู้ใหญ่บ้านที่ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตการปกครองเลย นายเจริญผู้ใหญ่บ้านซึ่งที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปกครองก็เบิกความสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าว จำเลยอ้างว่ามูลเหตุที่จำเลยที่ 1 ขายฝากที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 เพราะจำเลยที่ 1 เป็นหนี้นายบุญทรัพย์พี่จำเลยที่ 1 อยู่ นายบุญทรัพย์โอนสิทธิการเป็นเจ้าหนี้ให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 เร่งรัดให้ชำระหนี้จึงขายฝากที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ราคา 300,000 บาท ซึ่งจำเลยก็มิได้นำนายบุญทรัพย์มาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนว่าได้โอนสิทธิการเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 คงมีแต่คำกล่าวอ้างของจำเลยทั้งสองลอย ๆ สำหรับจำเลยที่ 1 เห็นอยู่แล้วว่าเป็นผู้ใช้สิทธิขายฝากที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริต คำของจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักจำเลยที่ 2 อ้างว่า เมื่อซื้อฝากที่พิพาทแล้วได้ให้จำเลยที่ 1 เช่าทำนา 2 ปี จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่า จึงฟ้องให้ชำระค่าเช่าแล้วให้นายเอนกบุตรจำเลยที่ 1 เช่าทำนาต่อมาจนถึงวันฟ้อง แต่จำเลยที่ 1กลับว่าเมื่อขายฝากที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 แล้วใครจะเป็นผู้ทำนาไม่ทราบ ครั้นตอบทนายจำเลยที่ 2 จึงว่าเมื่อขายฝากที่ดินพิพาทแล้วได้เช่าที่ดินพิพาททำนา โดยให้นายเอนกผู้เป็นบุตรทำแทน นายเอนกเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว ในข้อที่ว่า นายเอนกเข้าทำนาในที่ดินพิพาทนั้น มีแต่คำของนายเอนกปากเดียว เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับพยานหลักฐานของโจทก์ดังยกขึ้นกล่าวแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ในข้อนี้มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย เชื่อว่าโจทก์ทั้งห้ากับพวกครอบครองทำนาในที่ดินพิพาทตลอดมา นายเอนกไม่เคยเข้าทำนาในที่ดินพิพาทเลย จำเลยที่ 2 คงมีแต่พยานเอกสาร แสดงว่าซื้อฝากที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้วให้จำเลยที่ 1 เช่าทำนา2 ปี ต่อมาให้นายเอนกบุตรของจำเลยที่ 1 เช่าทำนาในอัตราค่าเช่า4 ถัง ต่อ 60 ไร่ ตามเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.15 โดยจำเลยที่ 2 หรือคนที่จำเลยที่ 2 ให้เช่าที่ดินพิพาทไม่เคยเข้าครอบครองทำนาในที่ดินพิพาทเลย ทั้งค่าเช่าก็ไม่เคยได้รับชำระต้องฟ้องบังคับให้ชำระค่าเช่าซึ่งเป็นอัตราค่าเช่าที่ต่ำมากอยู่แล้ว ทั้งจากจำเลยที่ 1และนายเอนกซึ่งบุคคลทั้งสองเมื่อถูกฟ้องได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมชำระค่าเช่าให้ แต่จำเลยที่ 2 ไม่เคยบังคับคดีให้ชำระค่าเช่า คงให้นายเอนกเช่าทำนาต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวส่อไปในทางว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันทำหลักฐานทางเอกสารให้เห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ไม่เคยเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทเลย เป็นการผิดปกติวิสัยของเจ้าของที่ดินพึงกระทำ เชื่อว่าจำเลยที่ 2 ซื้อฝากที่ดินพิพาทโดยไม่มีค่าตอบแทนและไม่สุจริตเป็นทางให้โจทก์ทั้งห้าซึ่งอยู่ในฐานะที่จะบังคับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้ตนได้อยู่ก่อนแล้วเสียเปรียบโจทก์ทั้งห้ามีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300และบังคับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้ตน จำเลยที่ 2ไม่มีสิทธิฟ้องแย้งเอาคืนที่พิพาทที่ตนได้มาโดยไม่มีค่าตอบแทนและโดยไม่สุจริต คดีไม่จำเป็นต้องพิจารณาฎีกาข้ออื่น ๆ ต่อไป ศาลฎีกาเห็นด้วยกับผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share