คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าไม่มีหนังสือสำคัญใด ๆ การให้จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่การให้ซึ่งจะต้องมีทั้งผู้ให้และผู้รับและผู้รับยอมรับเอาทรัพย์สินนั้น
ผู้ให้มีแต่สิทธิครอบครองในที่พิพาท ดังนั้น ผู้ให้จะโอนการครอบครองให้แก่ผู้รับก็แต่ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครองเว้นแต่ผู้รับจะครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ก่อนแล้วก็ทำได้โดยเพียงแสดงเจตนา
ขณะที่เจ้ามรดกทำหนังสือยกที่พิพาทให้แก่ผู้รับผู้รับไม่อยู่ได้มาลงชื่อภายหลังและไม่ปรากฏว่าเจ้ามรดกส่งมอบที่พิพาทให้ผู้รับครอบครองหรือผู้รับได้ครอบครองที่พิพาทอยู่ก่อนทั้งหนังสือยกให้นั้นเป็นการยกให้โดยมีเงื่อนไขบังคับก่อน โดยให้มีผลสมบูรณ์ก่อนเจ้ามรดกตาย 3 วัน จึงยังฟังไม่ได้ว่าเจ้ามรดกได้แสดงเจตนาสละและโอนการครอบครองที่พิพาทให้ผู้รับที่พิพาทครึ่งหนึ่งที่เป็นสินสมรสของเจ้ามรดกจึงยังเป็นมรดกของเจ้ามรดกอยู่ เมื่อโจทก์จำเลยและเจ้ามรดกเป็นอิสลามมิกชน มีภูมิลำเนาอยู่ในเขต 4 จังหวัด ดังนั้น ในการวินิจฉัยว่าโจทก์มีส่วนในมรดกเพียงใด จำต้องให้ดะโต๊ะยุติธรรมเป็นผู้ชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลามและลงลายมือชื่อในคำพิพากษาตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานีนราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ.2489

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยและนายแวสาเฮาะเจ้ามรดกเป็นอิสลามมิกชนมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดยะลาและจังหวัดปัตตานีซึ่งใช้กฎหมายอิสลามบังคับเจ้ามรดกเป็นพี่ชายของโจทก์ทั้งสองและเป็นสามีของจำเลยโดยไม่มีบุตรต่อกันเจ้ามรดกตายเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2517 ก่อนตายเจ้ามรดกมีทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องรวมเป็นเงิน 140,000 บาท สวนยางพาราตามบัญชีทรัพย์อันดับ 1เมื่อแบ่งครึ่งกับลูกจ้างแล้วเหลือเป็นทรัพย์มรดก 11,340 บาท รวมเป็นทรัพย์มรดกที่ต้องแบ่งทั้งหมดเป็นเงิน 151,340 บาท ทรัพย์มรดกทั้งหมดจะต้องแบ่งกันตามกฎหมายอิสลาม ฯลฯ เมื่อเจ้ามรดกตายแล้ว จำเลยเป็นผู้ครอบครองเก็บผลประโยชน์จากสวนยางตลอดมาแต่ผู้เดียว โจทก์ทั้งสองขอแบ่ง จำเลยไม่ยอมโดยอ้างว่าเจ้ามรดกได้ยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่บุตรเลี้ยงแล้วซึ่งไม่เป็นความจริง จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยแบ่งมรดกให้แก่โจทก์ทั้งสอง

จำเลยให้การว่าโจทก์จำเลยและเจ้ามรดกเป็นอิสลามมิกชนและมีภูมิลำเนาตามฟ้อง ซึ่งใช้กฎหมายอิสลามบังคับจริง โจทก์ที่ 1 ไม่มีชื่อในบัญชีเครือญาติ ไม่มีส่วนได้เสีย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เจ้ามรดกกับจำเลยมีบุตรด้วยกันคนหนึ่งคือนางรอบิเอ๊าหรือรอบิอะห์ เจ้ามรดกได้ทำหนังสือยกที่ดินสวนยางและบ้านให้แก่นางรอบิเอ๊าะตั้งแต่ 6 เมษายน 2517 มีผลบังคับตามหนังสือยกให้ก่อนเจ้ามรดกตาย 3 วัน หนังสือยกให้สมบูรณ์ตามกฎหมายอิสลามและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฯลฯ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินสวนยางและที่ปลูกบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างเจ้ามรดกกับจำเลยซึ่งมีส่วนแบ่งคนละครึ่ง ปัญหาวินิจฉัยมีว่าเจ้ามรดกได้ทำหนังสือยกที่พิพาทให้กับนางรอบิเอ๊าะตามเอกสารหมาย ล.1นั้นมีผลสมบูรณ์หรือไม่ เห็นว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าไม่มีหนังสือสำคัญใด ๆ เลยการยกให้จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่การให้ซึ่งจะต้องมีทั้งผู้ให้และผู้รับยอมเอาทรัพย์สินนั้น สำหรับที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งมีแต่สิทธิครอบครอง ผู้ให้จะโอนการครอบครองให้แก่ผู้รับก็แต่ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครอง เว้นแต่ผู้รับจะครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ก่อนแล้วก็ทำได้โดยเพียงแสดงเจตนา แต่ขณะเจ้ามรดกทำหนังสือยกที่พิพาทให้นางรอบิเอ๊าะตามเอกสารหมาย ล.1 นั้น นางรอบิเอ๊าะไม่อยู่ ได้มาลงชื่อภายหลัง และไม่ปรากฏว่าเจ้ามรดกส่งมอบที่พิพาทให้นางรอบิเอ๊าะครอบครองหรือนางรอบิเอ๊าะได้ครอบครองที่พิพาทอยู่ก่อนทั้งหนังสือยกให้ตามเอกสารหมาย ล.1 นั้น เป็นการยกให้โดยมีเงื่อนไขบังคับก่อน โดยให้มีผลสมบูรณ์ก่อนเจ้ามรดกตาย 3 วัน จึงยังฟังไม่ได้ว่าเจ้ามรดกได้แสดงเจตนาสละและโอนการครอบครองที่พิพาทนางรอบิเอ๊าะที่ดินสวนยางพาราตามบัญชีทรัพย์อันดับ 1 และที่ดินปลูกบ้านตามบัญชีทรัพย์อันดับ 2 ครึ่งหนึ่งที่เป็นสินสมรสของเจ้ามรดก จึงยังเป็นมรดกของเจ้ามรดกอยู่ ที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่าที่พิพาททั้ง 2 แปลงดังกล่าวไม่เป็นมรดกของผู้ตาย แล้ววินิจฉัยยกฟ้อง โดยไม่วินิจฉัยประเด็นข้อต่อไปว่าผลประโยชน์ที่เกิดจากมรดกที่พิพาทมีเพียงใด และโจทก์มีส่วนในมรดกเพียงใดตามที่ได้ตั้งประเด็นไว้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นมรดก ในการวินิจฉัยประเด็นต่อไปในข้อที่ว่าโจทก์มีส่วนในมรดกเพียงใดจำต้องให้ดะโต๊ะยุติธรรมเป็นผู้ชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลามและลงลายมือชื่อในคำพิพากษาตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี ฯลฯพ.ศ. 2489

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำพิพากษาศาลชั้นต้นย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ โดยฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยมา และที่ศาลชั้นต้นจะได้วินิจฉัยในประเด็นต่อไปอีก 2 ข้อ ตามฟ้องที่ได้กล่าวมาข้างต้น

Share