แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กฎกระทรวงฉบับที่ 5 ออกตามความในพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2510 ข้อ 7 ว่า “การให้กู้ยืมแก่พนักงานของบริษัทโดยมีผู้ค้ำประกันนั้น บริษัทจะให้กู้ยืมได้ไม่เกินร้อยละสองของราคาสินทรัพย์ของบริษัทตามบัญชีงบดุลที่มีอยู่ในวันสิ้นปีบัญชีครั้งสุดท้าย จำนวนที่ให้กู้ยืมแต่ละรายต้องไม่เกินหกเท่าของจำนวนเงินเดือนที่พนักงานผู้นั้นได้รับจากบริษัทในเดือนสุดท้ายก่อนที่จะให้กู้ยืม และไม่เกินสองหมื่นบาท……………” ฉะนั้น การที่บริษัทโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทโจทก์กู้ยืมเงินเป็นจำนวนเงิน 30,000 บาท จึงขัดต่อกฎกระทรวงดังกล่าว สัญญากู้ระหว่างบริษัทโจทก์และจำเลยจึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดด้วย แต่จำเลยที่ 1 รับเงินไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นการทำให้โจทก์เสียเปรียบ จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันภัย ให้กู้ยืมเงินฯ จำเลยที่ ๑ ได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปโดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ย โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระ แต่ก็ไม่ชำระ จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ทำงานกับโจทก์โดยเป็นตัวแทนประกันชีวิต จำเลยที่ ๑ ขอเงินจากโจทก์มาขยายงาน โจทก์ตกลงให้ ๓๐,๐๐๐ บาท แต่จำเลยที่ ๑ ต้องผ่อนชำระ แต่จ่ายโดยตรงไม่ได้ เพราะขัดต่อพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๒๗ จึงให้จำเลยที่ ๑ ทำเป็นกู้ยืมไว้ สัญญากู้จึงเป็นนิติกรรมอำพราง ปิดบังเจตนาอันแท้จริงคือการให้เงินมาลงทุนเพื่อขยายงานของโจทก์โดยตรง จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ผิดนัด สัญญากู้เป็นโมฆะ เพราะขัดต่อกฎกระทรวงฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๑๑) ข้อ ๗ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๑๐ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ไม่ยินยอมด้วย จำเลยที่ ๑ มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ได้ จึงไม่เป็นการยากที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยที่ ๑ ไม่สมควรที่จะฟ้องจำเลยที่ ๒ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่า สัญญากู้ไม่ใช่นิติกรรมอำพราง และจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นจำนวนเงินตามฟ้อง แต่ขณะกู้ยืมจำเลยได้รับเงินเดือนจากโจทก์เพียงเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท เท่านั้น ซึ่งตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๑๑) ข้อ ๗ ออกตามความในพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๑๐ ห้ามมิให้โจทก์ซึ่งเป็นบริษัทให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์กู้เงินเป็นจำนวนเกินกว่า ๖ เท่าของเงินเดือน อันเป็นกฎหมายคุ้มครองประโยชน์ของผู้เอาประกันชีวิต เป็นกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน นิติกรรมสัญญากู้อันขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงไม่สมบูรณ์ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้รายนี้แก่โจทก์ และการค้ำประกันจะมีได้เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์เท่านั้น จำเลยที่ ๒ จึงหลุดพ้นความรับผิดไปด้วย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า พระราชบัญญัติประกันชีวิตมิใช่กฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การกู้เงินระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ไม่ผิดศีลธรรมหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันจึงไม่เป็นโมฆะ
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทโจทก์ ตำแหน่งครั้งสุดท้ายเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขยายงาน ได้รับเงินเดือนเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ระหว่างดำรงตำแหน่งนี้ จำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินจากบริษัทโจทก์ไป ๓๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๒๒ บัญญัติว่า “นอกจากการประกันชีวิต บริษัทจะลงทุนประกอบธุรกิจอื่นใดก็ได้เฉพาะที่กำหนดในกฎกระทรวง กฎกระทรวงนั้นจะกำหนดเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจนั้น ๆ ให้บริษัทปฏิบัติด้วยก็ได้
การประกอบธุรกิจใดที่ไม่ปฏิบัติหรือไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ให้ถือว่าเป็นการประกอบธุรกิจที่มิได้กำหนดในกฎกระทรวง” และกฎกระทรวงฉบับที่ ๕ ออกตามความในพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๑๐ ข้อ ๗ ว่า “การให้กู้ยืมแก่พนักงานของบริษัทโดยมีผู้ค้ำประกันนั้น บริษัทจะให้กู้ยืมได้ไม่เกินร้อยละสองของราคาสินทรัพย์ของบริษัทตามบัญชีงบดุลที่มีอยู่ในวันสิ้นปีบัญชีครั้งสุดท้าย จำนวนเงินที่ให้กู้ยืมแต่ละรายต้องไม่เกินหกเท่าของจำนวนเงินเดือนที่พนักงานผู้นั้นได้รับจากบริษัทในเดือนสุดท้ายก่อนเดือนที่จะให้กู้ยืม และไม่เกินสองหมื่นบาท………” การที่บริษัทโจทก์ให้จำเลยซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทโจทก์กู้ยืมเป็นจำนวนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท นั้น จึงขัดต่อกฎกระทรวงดังกล่าว ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา ๗๖ ว่าการฝ่าฝืนมาตรา ๒๒ ต้องระวางโทษปรับ สัญญากู้ระหว่างบริษัทโจทก์และจำเลยจึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ได้รับเงินที่กู้ไปจากโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีนี้ก็มิได้ฟ้องขอบังคับให้กู้ แต่เป็นการฟ้องเรียกเอาทรัพย์ของตนที่ให้กู้คืน จำเลยที่ ๑ รับเงินไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นการทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ ๑ จึงต้องคืนเงินที่ได้รับไว้แก่โจทก์ และชำระดอกเบี้ยสำหรับเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันรับเงิน แต่ให้จำเลยรับผิดในดอกเบี้ยเฉพาะส่วนที่ยังไม่ได้ชำระเท่านั้น ส่วนจำเลยที่ ๒ เมื่อปรากฏว่าสัญญากู้ยืมรายนี้เป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดด้วย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เฉพาะตัวจำเลยที่ ๑ เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ คืนหรือใช้เงินจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันรับเงินจนกว่าจำเลยจะคืนหรือใช้เงินเสร็จ โดยหักดอกเบี้ยที่ชำระไว้แล้วก่อน นอกจากนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์