แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัทจำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งประจำทางจากจังหวัดสิงห์บุรีถึงบ้านชันสูตร การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้ร่วมกันนำรถยนต์โดยสารเข้าไปรับส่งคนโดยสารและสินค้าในเส้นทางซึ่งนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนนั้น ย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ.2497 มาตรา 10 อันมีโทษตามมาตรา 59 ตามฟ้องโดยตรง เพราะออกวิ่งนอกเส้นทางที่กำหนดให้ประกอบการขนส่งหาได้เป็นความผิดเกี่ยวกับมาตราอื่นที่โจทก์มิได้ประสงค์จะให้ลงโทษไม่
จำเลยที่ 7 ของแต่ละสำนวนเป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารประจำทางตามฟ้อง จึงเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่ประจำเครื่องอุปกรณ์การขนส่งตามพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ.2497มาตรา 34(1) ซึ่งบัญญัติบังคับไว้โดยเฉพาะจำเลยที่ 7 จึงมิใช่ผู้ประกอบการขนส่งด้วย ไม่มีความผิดตามมาตรา 10 ดังฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ทั้ง 5 สำนวนฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ทำการขนส่งผู้โดยสารและดำเนินกิจการทุกชนิดเกี่ยวกับการขนส่ง โดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 เป็นกรรมการ และมีจำเลยที่ 7 แต่ละสำนวนเป็นผู้ขับรถ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2517 เวลากลางวัน จำเลยทุกคนในสำนวนที่ 2 ที่ 4 และในวันที่ 7 มกราคม 2518 จำเลยทุกคนในสำนวนที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ได้บังอาจร่วมกันประกอบการขนส่งผู้โดยสารในเส้นทางซึ่งจำเลยมิได้รับใบอนุญาตการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์โดยสารจากนายทะเบียนการขนส่งตามกฎหมายทั้งนี้โดยจำเลยที่ 7 แต่ละสำนวนเป็นผู้ขับรถโดยสารประจำทางนั้น ๆ เหตุเกิดที่ตำบลบางพุทรา อำเภอเมืองสิงห์บุรี ตำบลโพธิ์ชนไก่ อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี และตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาทเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. 2497 มาตรา 2,10, 59 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. 2497 ในส่วนที่เกี่ยวกับการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์โดยสาร พ.ศ. 2507 มาตรา 3, 4, 6
จำเลยทุกคนในทุกสำนวนให้การปฏิเสธ
ก่อนสืบพยานโจทก์จำเลยรับกันฟังข้อเท็จจริงได้ว่า รถยนต์โดยสารทุกคันตามที่โจทก์ฟ้องเป็นของบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์โดยสารจังหวัดสิงห์บุรีถึงบ้านชันสูตร ส่วนเส้นทางต่อจากบ้านชันสูตรถึงอำเภอสรรคบุรีซึ่งจำเลยนำรถยนต์โดยสารเข้าไปวิ่งตามฟ้องนั้นยังไม่ได้รับอนุญาตให้นำรถเข้าไปวิ่งรับส่งคนโดยสารได้ จำเลยที่ 7 แต่ละสำนวนต่างเป็นลูกจ้างขับรถยนต์แต่ละคันตามฟ้องของบริษัทจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า เมื่อบริษัทจำเลยที่ 1ได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งเพื่อสินจ้างแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1ถึง ที่ 6 จึงไม่ผิดตามมาตรา 10 ส่วนการที่จำเลยนำรถวิ่งเลยไปถึงอำเภอสรรคบุรีเกินกำหนดเส้นทางที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งนั้น เป็นการกระทำเกี่ยวกับมาตราอื่นที่โจทก์มิได้ประสงค์จะให้ลงโทษและมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ส่วนจำเลยที่ 7 แต่ละสำนวนเป็นลูกจ้างคนขับรถยนต์ของบริษัทจำเลยที่ 1 จึงมิใช่ผู้ประกอบการขนส่ง เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1ถึงที่ 6 ไม่เป็นความผิดตามฟ้อง จำเลยที่ 7 ทุกคนก็ไม่มีความผิดฐานร่วมกระทำผิดด้วยพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้ง 5 สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าจำเลยทุกคนแต่ละสำนวนมีความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. 2497 มาตรา 2, 10, 59 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 พระราชบัญญัติกฤษฎีกาให้ใช้การขนส่ง พ.ศ. 2497 ในส่วนที่เกี่ยวกับการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์โดยสาร พ.ศ. 2507 มาตรา 3, 4, 6 ให้ปรับจำเลยทุกคนในแต่ละสำนวนคนละ 1,000 บาท
จำนวนทั้ง 5 สำนวนฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า รถยนต์โดยสารของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งประจำทางจากจังหวัดสิงห์บุรีถึงบ้านชันสูตร การที่จำเลยที่ 1ถึงที่ 6 ได้ร่วมกันนำรถยนต์โดยสารเข้าไปรับส่งคนโดยสารและสินค้าในเส้นทางซึ่งนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนนั้น ย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. 2497 มาตรา 10 อันมีโทษตามมาตรา 59 ตามฟ้องโดยตรงเพราะออกวิ่งนอกเส้นทางที่กำหนดให้ประกอบการขนส่งหาได้เป็นความผิดเกี่ยวกับมาตราอื่นที่โจทก์มิได้ประสงค์จะให้ลงโทษไม่
จำเลยที่ 7 ของแต่ละสำนวนเป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารประจำทางตามฟ้องจึงเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่ประจำเครื่องอุปกรณ์การขนส่งตามพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. 2497 มาตรา 34(1) ซึ่งบัญญัติบังคับไว้โดยเฉพาะ จำเลยที่ 7 จึงมิใช่ผู้ประกอบการขนส่งด้วยไม่มีความผิดตามมาตรา 10 ดังฟ้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 7 ทุกสำนวน นอกจากที่แก้คงให้บังคับคดีเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์